หลายๆ คนอยากเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว แต่ติดอยู่ตรงที่ว่ากลัวต่างๆ นานา ดังนั้นผมคิดว่าอยากจะเขียนเรื่องนี้ต่ออีกสักนิดหนึ่งเพื่อย้ำให้เห็นว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไปเที่ยวคนเดียวได้จริงๆ หากเราวางแผนการเดินทางดีๆ และรู้จักหาทางหนีทีไล่เสมอครับ และเพื่อไม่ให้เสียเวลา เราไปเข้าประเด็นกันเลย
เนื่องจากช่วงนี้มีคนทวีตมาหาทางทวิตเตอร์ค่อนข้างบ่อยเกี่ยวกับการเดินทางไปญี่ปุ่นครับ อย่างที่ทราบกันว่าตอนนี้คนไทยสามารถเดินทางไปญี่ปุ่นได้แล้วในระยะเวลาที่ไม่เกิน 15 วัน
เหตุนี้จึงมีหลายๆ คนอยากเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว แต่ติดอยู่ตรงที่ว่ากลัวต่างๆ นานา ดังนั้นผมคิดว่าอยากจะเขียนเรื่องนี้ต่ออีกสักนิดหนึ่งเพื่อย้ำให้เห็นว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไปเที่ยวคนเดียวได้จริงๆ หากเราวางแผนการเดินทางดีๆ และรู้จักหาทางหนีทีไล่เสมอครับ และเพื่อไม่ให้เสียเวลา เราไปเข้าประเด็นกันเลย
– พูดญี่ปุ่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
จริงๆ แล้วการพูดญี่ปุ่นไม่ได้ไม่ใช่ปัญหาเลยในชีวิตประจำวัน เพียงแต่เราควรจะต้องมีข้อมูลสำคัญๆ ของสถานที่ที่เราจะไป ยกตัวอย่างคนญี่ปุ่นเวลามาเที่ยวไทยคนเดียว เขามักจะมีสมุดจดเล่มเล็กๆ (ขนาดประมาณหนึ่งคืบ) เอาไว้จดสถานที่สำคัญๆ ที่เขาต้องการจะไป และโชว์ให้ตำรวจหรือคนรอบๆ ตัวดูเพื่อถามทาง อันนี้จะช่วยเราได้มาก หรือเพื่อนผมบางคนเวลาไปต่างประเทศคนเดียว เขาจะซื้อแฟ้มหนึ่งอันและเตรียมข้อมูลไว้ทั้งหมด อย่างเช่นที่อยู่โรงแรม ตั๋วรถต่างๆ (สแกนไว้) กะว่าหลงเมื่อไหร่หยิบแฟ้มนี้มาอันเดียวรอด
นอกจากนี้คนญี่ปุ่นยังมีความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือเราด้วยครับ หากพูดไม่ได้ เขาก็จะหาทางติดต่อเราเองแหละ อย่างรูปประกอบด้านบน เหตุเกิดขึ้นเมื่อเรานั่งเตร็ดเตร่อยู่ในร้านกาแฟนานเกิน นานจนร้านเค้าจะปิดแล้ว เค้าเดินมาหาเราพยายามจะอธิบายว่า “ออกไปได้แล้วโว้ยยยยย” แต่ภาษาที่เราคุยกันมันไม่เข้าใจครับ แกเลยหายไปหลังฉากสองสามนาทีแล้วเอาใบเสร็จมาวาดรูปดังกล่าวให้ นอกจากเราจะไม่โกรธที่โดนไล่แล้ว ยังรู้สึกดีที่เขาใส่ใจในการคุยกับเรา (ฮา)
– เข้าสนามบินนาริตะต้องใช้พาสปอร์ต
อันนี้เผื่อไว้ว่าบางคนอาจจะมีเพื่อนตามมาในไฟลท์วันถัดไปหรือมีกิจอะไรแถวๆ นั้น อยากบอกว่าสนามบินญี่ปุ่นนาริตะนั้นแล้วจะขอตรวจพาสปอร์ตก่อนเข้าไปในสนามบินนะครับ (จากทางขึ้นรถไฟ จะมีแท่นตรวจกระเป๋าแล้วก็พาสปอร์ต ดังนั้นเตรียมไว้ก็ดี คือถ้าลืมเอาไปจริงๆ เขาก็ให้เข้าแหละ แต่ต้องอธิบายกันยาวว่ามาทำอะไร อย่างไร กรณีนี้ถือเป็นเรื่องจริงจังนะครับ
เคยมีคนญี่ปุ่นมาไทยแล้วไปเที่ยวเทอร์มินอล 21 เราก็อำแกว่าเออ นี่คือส่วนหนึ่งของสนามบิน แกก็ตกใจใหญ่เพราะแกไม่มีพาสสปอร์ต ต้องกลับไปเอาห้อง เราก็ปล่อยแกไปเอาแหละ ค่อยเฉลยว่าแกล้งตอนแกวิ่งกลับมาแบบเหนื่อยๆ ฮ่าๆ)
– ซื้อตั๋ว Skyliner (หรือตั๋วขนส่งใดๆ ที่มีการ reserve ticket) ให้เก็บตั๋วดีๆ
ในการเดินทางออกมาจากสนามบินนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วเพื่อประหยัดเวลา (แต่ไม่ประหยัดเงิน) ก็มักจะใช้ Skyliner ส่งตรงมาจากนาริตะ ตรงส่วนนี้นั้นอาจด้วยความตื่นตะลึงจากวิว Chiba (เหรอ?) นอกหน้าต่าง อาจทำให้เราละเลยตั๋วรถไฟได้ ทีนี้ทริปญี่ปุ่นก็จะเจอความเงิบแรกเมื่อเราหาตั๋วไม่เจอตอนเค้าเดินมาตรวจ ตรงนี้แนะนำให้เราเก็บตั๋วไว้อย่างดีเลย คิดไว้ตลอดว่าตราบใดที่ตั๋วยัง active อยู่ต้องให้ความสนใจมันเสมอ ทีนี้หากพลาดจริงๆ เห้ย ตั๋วหาย !! จะทำอย่างไร ? อันนี้ไปคนเดียวอาจจะยากหน่อย แต่ถ้าเราไปสองคนและซื้อตั๋วพร้อมกัน ตรงล่างของตั๋วมันจะเขียนว่าเราซื้อกี่ใบ มากี่คน (ประมาณนั้น) เราใช้ข้อมูลตรงนี้ไปอ้อนพนักงานตรวจตั๋วให้เขาเห็นว่า เอออออ ฉันมา 2 คนจริงๆนะ เนี่ย .ซื้อพร้อมกันเลย แต่ตั๋วฉันหาย… โดยปกติแล้วพนักงานเขาจะปล่อยเราออกไป แต่แน่นอน จะมาพร้อมคำต่อว่า (แบบสุภาพๆ) ดังนั้นอย่าลืมตั๋วล่ะ !
– Hyperdia ไม่ต้องโหลด app ก็ได้ตอนนี้ เข้าผ่านหน้าเว็บดีกว่า
เนื่องจากปัจจุบัน App Hyperdia ทั้ง IOS และ Android นั้น อยู่ดีๆ ก็มักจะจำกัดการใช้งานของเรา หลายๆ คนจึงสงสัยว่าเออ มันจะเอาตัวรอดได้จริงด้วย App นี้รึเปล่า? ดังนั้นเราแนะนำว่าเข้าผ่าน Safari หรือโปรแกรม Browser ตาม Smart Phone ดีกว่า การใช้งานเหมือนกันครับ วิธีการใช้ที่แนะนำที่สุดก็คือว่า โปรแกรมนี้มันใช้งาน offline ไม่ได้ ดังนั้นเวลาเราเจอเน็ทเมื่อไหร่ก็ให้คิดเลยว่าเราจะไปไหนบ้าง ต่อต่อรถจากที่ไหนไปที่ไหนบ้าง แล้วก็กดหาในโปรแกรมแล้วแคปหน้าจอไว้ แค่นี้ก็รอดแล้วครับ
– Suica ถ้าไม่รีบ ไม่ซีเรียสอะไร ไม่ต้องใช้ก็ได้
หลังๆ เวลาไปญี่ปุ่นระยะสั้น เราจะไม่ใช้ Suica เลยเพราะรู้สึกว่าเราจะต้องเสียค่าบัตรนู่นนี่นั่น (จริงๆ มันก็ไม่ได้มากมายอะไรครับ แต่รู้สึกว่าตัวเองขี้งก) คือจริงๆ นอกจากไม่อยากเสียเงินเยอะ (นิดหน่อยก็เถอะ) มันเหมือนการเตือนตัวเองว่า เออ ยังไงเราก็ต้องเข้า Hyperdia ไปหาราคาว่ากี่บาท จะได้ซื้อตั๋วให้ตรง (โปรแกรมนี้จะแจ้งด้วยว่าการเดินทางที่เราต้องการนั้นใช้เงินกี่บาท) จริงๆ ที่สถานีก็มีบอกนะครับ แต่มันจะภาษาญี่ปุ่นล้วน จึงแนะนำว่าเป็นหาจากโปรแกรมดีกว่า วิธีนี้เหมือนการบังคับเราทางอ้อมว่ายังไงก็ต้องเข้ามาเช็คเส้นทางนะ แบบนี้เราก็ไม่หลงแน่นอน
อนึ่งคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ (มาก) ใช้ Suica ดังนั้นตู้กดเงินบ้านเค้าคนไม่เยอะหรอกครับ ไปถึงได้คิวเลยด้วยซ้ำ และก็รับทั้งธนบัตร รับทั้งเหรียญ คือสะดวกสบายมากๆ ต่างจากบ้านเรามาก ไม่ต้องกังวลครับ
– สถานทูตคือที่พึ่ง
สถานการณ์ล่าสุดที่เจอคือทำพาสปอร์ตหาย ดังนั้นคือการบุกสถานทูตครั้งแรก สถานทูตไทยที่โตเกียวอยู่ที่สถานี Meguro ไปได้ทาง JR Yamanote ครับ โทรติดต่อตอนไหนก็ได้ (ถ้าเรื่องด่วนนะ) โทรไปที่เบอร์ 03-5789-2433 เขาพูดภาษาไทยได้ครับ และจากประสบการณ์ต้องชื่นชมว่าประสานงานได้รวดเร็วมาก และเขาพร้อมจะคุยกับสายการบินให้ด้วยเรื่องการออกตั๋ว อย่างผมได้ตั๋วใหม่ฟรีๆ เลย (ทั้งๆ ที่เราทำผิดพลาดเอง)
นอกจากนี้กรณีพาสปอร์ตหายในวันที่ 15 (วันสุดท้ายตามกำหนดฟรีวีซ่า) ก็ไม่ต้องกังวลไปนะครับ เพราะว่ากรณีนี้ทางสถานทูตจะจัดการให้เราจนกว่าเราจะถึงไทยโดยไม่ถือเป็นการ overstay แต่อย่างใดครับ
– จงมีมารยาท
คุณต้องคิดไว้เสมอว่าการเที่ยวของเราก็คือหน้าตาของประเทศนั่นแหละ พูดง่ายๆ เวลาคนมองเรา เค้าไม่ได้มองคุณเป็นตัวบุคคล แต่เค้ามองคุณเป็นประเทศไทย ยกตัวอย่างเวลาเราเห็นคนญี่ปุ่นตามสุขุมวิทประพฤติเรียบร้อย เราก็จะมองว่าคนญี่ปุ่นวางตัวดีเนอะ ไม่ได้ไปสนใจหรอกว่าคนๆนั้นชื่ออะไรแล้วเค้ามีพฤติกรรมแบบนั้นได้อย่างไร ดังนั้นบอกไว้เลยว่าเหตุผลไม่สำคัญครับ ทำไม่ดีคือไม่ดี เราต้องทำตัวดีๆ ให้เขาเห็นแต่ด้านดีของเรา คิดไว้ว่าเราทำดี คนก็มองประเทศเราดี จากที่เห็นในหลายๆ สื่อ คนไทยตอนนี้ถูกมองในด้านลบพอสมควรเลยครับ ดังนั้นเที่ยวญี่ปุ่นให้ดี ต้องเที่ยวอย่างมีอารยธรรมเสมอนะครับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าหรือพูดคุยทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– กินซูชิจานเวียนแบบไม่อั้น เตรียมไปเก็บสตรอเบอรี่สดๆ และช้อปปิ้งกระหน่ำที่เอ้าท์เล็ท
– เจแปน จุด จุด จุด : ความสุข ความทรงจำ 1 วันในนิกโก้
– เจแปน จุด จุด จุด : Hokkaido Sweet Road ตะลุยกินในฮอกไกโด ตอนที่ 1
– Tokyo Dome City สวนสนุกชั้นดีใจกลางเมือง
– แฟชั่นหนาวนี้..ช้อปปิ้งแบบประหยัดกับ Book off