ครั้งนี้เราไปเที่ยวกันที่เกาะคิวชูตอนเหนือ เมืองแรกที่เราจะไปเที่ยวกันก็คือ เมืองซาเซโบะ (Sasebo) เมืองที่เข้าถึงได้ง่ายๆ ด้วยรถไฟ มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โดดเด่น อาหารการกินก็หลากหลาย และไม่ควรพลาดธีมพาร์คชื่อดังอย่าง Huis Ten Bosch เด็ดขาด ตามมาเที่ยวเมืองซาเซโบะกันเลย…
ญี่ปุ่นกลับมาเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตัวเอง (FIT) อีกครั้ง ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีนี้ (2565) ทำให้เราสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นอย่างเพลิดเพลินกันได้อีกครั้งโดยที่ไม่ต้องใช้วีซ่า ซึ่งก็เหมือนกับในช่วงก่อนเกิดโควิด
และครั้งนี้เราไปเที่ยวกันที่เกาะคิวชูทางตอนใต้ของญี่ปุ่น โดยไปเที่ยวที่เมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka City) เมืองซาเซโบะ (Sasebo City) เมืองฮิตะ (Hita City) และเมืองคิตะคิวชู (Kitakyushu City) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะคิวชู ทั้ง 4 เมืองนี้ สามารถเข้าถึงได้ง่ายด้วยระบบขนส่งสาธารณะ อย่างเช่น รถไฟ มีของกินอร่อยราคาไม่แพง และยังมีจุดถ่ายรูปมากมายที่ไม่ควรพลาดอีกด้วย
งั้นมาเริ่มต้นการเดินทางกันเลย…
ชมคลิปตะลุยเที่ยว 4 เมืองน่าสนใจบนเกาะคิวชูตอนเหนือทั้ง 4 EP กันก่อน
อ่านต่อทุก EP >>
ตะลุยเที่ยว 4 เมืองน่าสนใจบนเกาะคิวชูตอนเหนือ EP.1 “Sasebo”
ตะลุยเที่ยว 4 เมืองน่าสนใจบนเกาะคิวชูตอนเหนือ EP.2 “Hita”
ตะลุยเที่ยว 4 เมืองน่าสนใจบนเกาะคิวชูตอนเหนือ EP.3 “Kitakyushu”
ตะลุยเที่ยว 4 เมืองน่าสนใจบนเกาะคิวชูตอนเหนือ EP.4 “Fukuoka”
Thai VietJet Air
ครั้งนี้เราเดินทางกันด้วย Thai VietJet Air ต้องบอกเลยว่าเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนเดินทางด้วยสายการบินนี้ เอาแบบตรงๆ ไม่อวยเลยนะ ว่าคุ้มค่า คุ้มราคาจ้า
ประสบการณ์ที่ได้เจอสำหรับเที่ยวบินนี้ก็คือ ชอบในการบริการมาก พนักงานงานยิ้มแย้มแจ่มใส เต็มใจให้ความช่วยเหลือ สีหน้าเต็มใจให้บริการ ไม่ว่าผู้โดยสารจะเยอะแค่ไหน ก็ยังพยายามใส่ใจอย่างทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานภาคพื้นฝั่งไทย หรือฝั่งญี่ปุ่น ส่วนบนเครื่องก็บริการดี ตั้งแต่ขึ้นเครื่องจนเครื่องลง
ในแง่ของ service นั้น สำหรับเที่ยวบินนี้ ไม่กังขา ให้ห้าดาว สำหรับสายการบินโลว์คอสท์ไปเลย ในส่วนของที่นั่งก็แอบแฮปปี้ขึ้นไปอีกระดับ ตรงที่ที่นั่งกว้างมาก (แต่เราขาสั้น อาจจะพูดได้ไม่เต็มปากว่ากว้างสุดๆ แต่ที่แน่ๆ คือเราเอนตัวนอนแล้วยืดตัวสุดฤทธิ์ ขายังเหยียดไม่ถึงที่วางเท้าด้านในสุดเลยจ้า)
เว็บไซต์: https://th.vietjetair.com/
สนามบินฟุกุโอกะ
แลนดิ้ง ณ สนามบินฟุกุโอกะ
สนามบินฟุกุโอกะ เปรียบเสมือนประตูสู่เกาะคิวชู หากใครที่ต้องการจะมาเยือนจังหวัดฟุกุโอกะ นางาซากิ โออิตะ คุมาโมโต้ มิยาซากิ และจังหวัดคาโกชิม่า ส่วนใหญ่ก็ต้องมาลงที่สนามบินแห่งนี้กันทั้งสิ้น ซึ่งสายการบิน Thai VietJet Air ก็มีเส้นทางบินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิมาลงที่สนามบินฟุกุโอกะเช่นเดียวกัน และมีถึง 5 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ แค่ 5 – 6 ชั่วโมงเราก็สามารถเดินทางมาถึงสนามบินฟุกุโอกะกันแล้ว…
นอกจากนี้สนามบินฟุกุโอกะ ยังมีความโดดเด่นในเรื่องของการเดินทางเข้าเมืองที่สะดวกสบาย เพราะใช้เวลาแค่เพียงประมาณ 15 นาทีโดยรถบัสหรือรถไฟ ก็สามารถเข้าสู่ใจกลางเมืองฟุกุโอกะได้ (ฮากาตะและเทนจิน)
และภายในสนามบิน ก็มีร้าน Duty Free ซึ่งจำหน่ายทั้งสินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง ของฝากเด็ดๆ จากญี่ปุ่น รวมไปถึงของฝากท้องถิ่นที่ไม่ควรพลาดจากภูมิภาคคิวชูโดยเฉพาะอีกด้วย ดังนั้นในช่วงขากลับ ก็อย่าลืมแวะช้อป ณ จุดนี้กันนะ ได้ของดี แถมยังสะดวก และประหยัดเวลาอีกด้วย
แบรนด์เครื่องแต่งกายก็มี…
แบรนด์เครื่องสำอางก็มา…
รวมไปถึง… ของฝากที่ไม่ควรพลาดจากญี่ปุ่น
เพิ่มเติมในส่วนของการผ่านเข้าเมือง….
หลังจากที่ญี่ปุ่นเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยโดยไม่ต้องใช้วีซ่าอีกครั้ง ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการผ่านเข้าเมือง ซึ่งแตกต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง… โดยก่อนการเดินทาง เราจะต้องทำการลงทะเบียนบนเว็บไซต์ Visit Japan Web >> https://vjw-lp.digital.go.jp/ ให้เรียบร้อยก่อน หลังจากที่ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้ QR Code ที่จะนำไปใช้ในขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง รวมทั้งในส่วนของขั้นตอนด้านศุลกากร (custom) ด้วย ขั้นตอนต่างๆ ที่สนามบินจึงสะดวกขึ้นมากเลยทีเดียว
สถานีฮากาตะ
สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในภูมิภาคคิวชูนั้น สามารถใช้ได้ทั้งรถยนต์ เรือ และรถไฟ แต่ที่เราอยากจะแนะนำเป็นพิเศษ เพราะสะดวก แถมยังคุ้มกับเงินที่จ่ายไปอีกด้วย นั่นก็คือทางรถไฟ ดังนั้นหลังจากที่ออกจากสนามบินฟุกุโอกะแล้ว เราจึงมุ่งหน้าไปสู่สถานีรถไฟหลักของภูมิภาคแห่งนี้ ซึ่งก็คือสถานีฮากาตะ ที่เปรียบเสมือนสถานีหัวลำโพงแห่งเกาะคิวชูเลยก็ว่าได้
เว็บไซต์: https://www.fukuoka-airport.jp/en/
เที่ยวคิวชูด้วยรถไฟ (JR Kyushu)
เส้นทางรถไฟ JR Kyushu
จากสนามบินฟุกุโอกะ สามารถเดินทางโดยรถบัสหรือรถไฟมายังสถานีฮากาตะก็ได้ และที่สถานีฮากาตะ เราสามารถมาจัดการเรื่องพาสรถไฟกันได้ที่นี่เพราะเป็นสถานีใหญ่ ซึ่งบัตรรถไฟ (หรือพาสฯ) ของเจอาร์สำหรับท่องเที่ยวในภูมิภาคคิวชู (JR Kyushu Rail Pass) ก็มีให้เลือกตามความเหมาะสมกับแผนการเที่ยวของเราเลย แล้วก็ตามกำลังทรัพย์ด้วย
สำหรับบัตรรถไฟเที่ยวคิวชู (JR Kyushu Rail Pass) หลักๆ ก็มีด้วยกันอยู่ 4 แบบ คือ …
All Kyushu (3 Days, 5 Days, 7 Days); ใช้เดินทางครอบคลุมพื้นที่การเดินรถไฟบนเกาะคิวชูได้เกือบทั้งเกาะ
Northern Kyushu (3 Days, 5 Days); ใช้สำหรับเดินทางในพื้นที่ทางตอนเหนือของเกาะคิวชู
Southern Kyushu (3 Days); ใช้สำหรับเดินทางในพื้นที่ทางตอนใต้ของเกาะคิวชู
Fukuoka Wide (2 Days); ใช้สำหรับเดินทางในจังหวัดฟุกุโอกะเป็นหลัก แต่ก็สามารถใช้ในพื้นที่ Karatsu ของจังหวัดซากะได้ด้วย
อย่างเช่นทริปตะลุยเที่ยว 4 เมืองในครั้งนี้ เราสามารถเลือกซื้อพาส Northern Kyushu แบบ 3 วัน (10,000 เยน) หรือ แบบ 5 วัน (14,000 เยน) ก็ได้ แค่ตัดสินใจก่อนว่าจะใช้รถไฟเยอะแค่ไหน เส้นทางไหนบ้าง แค่นั้นเอง
JR Kyushu – Northern Kyushu Pass
และการเดินทางด้วยรถไฟในภูมิภาคคิวชู ก็ยังมีรถไฟขบวนพิเศษๆ จำพวก Limited Express แล้วก็ Sightseeing Trains อยู่ด้วย ใครที่เป็นแฟนการเดินทางด้วยรถไฟญี่ปุ่น ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
การเที่ยวเกาะคิวชูตอนเหนือในครั้งนี้ เราก็ต้องมีการศึกษาวิธีการเดินทางกันล่วงหน้า วิธีการเดินทางไปยังทั้ง 4 เมืองโดยรถไฟรวมถึงระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทาง ก็จะเป็นดังนี้ …
① ฟุกุโอกะ (ฮากาตะ) ⇔ ซาเซโบะ
・สถานีฮากาตะ ⇔ สถานีซาเซโบะ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยรถไฟด่วน
*รถด่วนพิเศษ “JR Huis Ten Bosch” วิ่งระหว่างสถานี Hakata และสถานี Huis Ten Bosch
② ซาเซโบะ ⇔ ฮิตะ
・สถานี Sasebo ⇔ สถานี Tosu ⇔ สถานี Kurume ⇒ สถานี Hita ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที
*จำเป็นต้องต่อรถ 2 รอบที่สถานี Tosu และสถานี Kurume
③ ฟุกุโอกะ (ฮากาตะ) ⇔ ฮิตะ
・สถานีฮากาตะ ⇔ สถานีฮิตะ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที โดยรถไฟด่วนพิเศษ
*สามารถใช้รถไฟท่องเที่ยว “Limited Express Yufuin no Mori” ได้
④ ฟุกุโอกะ (ฮากาตะ) ⇔ คิตะคิวชู (โคคุระ/โมจิโกะ)
・สถานีฮากาตะ ⇔ สถานีโคคุระ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที โดยรถไฟชินคันเซ็น
・สถานี Kokura ⇔ สถานี Mojiko ใช้เวลาประมาณ 15 นาที โดยรถไฟท้องถิ่น
ในครั้งนี้เราเริ่มต้นการด้วย JR Huis Ten Bosch รถไฟขบวนพิเศษแบบ Limited Express ที่มีเส้นทางจากสถานี Hakata (จังหวัดฟุกุโอกะ) และปลายทางอยู่ที่สถานี Huis Ten Bosch (เมืองซาเซโบะ จังหวัดนางาซากิ) อันเป็นที่ตั้งของธีมปาร์คที่มีชื่อเสียงที่สุดของภูมิภาคแห่งนี้ แต่เราก็จะแวะไปเที่ยวที่อื่นๆ ในเมืองซาเซโบะกันก่อนด้วย…
เว็บไซต์: https://www.jrkyushu.co.jp/english/railpass/railpass.html
เมืองซาเซโบะ
หมายเหตุ – สีส้ม (อาหาร) / สีฟ้า (สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม) / สีเขียวอ่อน (สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ) / สีม่วง (ธีมพาร์ค) / สีแดง (ช้อปปิ้ง) / สีบานเย็น (Photo Spot) / สีเทา (ที่พัก)
เมืองแรกที่เราจะไปเที่ยวกันก็คือ เมืองซาเซโบะ (Sasebo) ซึ่งอันที่จริงก็เปรียบได้กับอำเภอ เป็นอำเภอที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งของจังหวัดนางาซากิ เป็นรองแค่อำเภอเมืองนางาซากิเท่านั้น และด้วยความที่พวกเราชาวไทย มักจะคุ้นกับการเรียกตำบลหรืออำเภอต่างๆ ในญี่ปุ่นว่าเป็น “เมือง” ไปซะหมด งั้นเราก็ขอเรียกว่า “เมืองซาเซโบะ” ก็แล้วกันนะ
รถไฟ JR Huis Ten Bosch
จากการที่เรานั่งรถไฟ JR Huis Ten Bosch ซึ่งที่จริงแล้วมีปลายทางอยู่ที่สถานี Huis Ten Bosch แต่เราจะแวะที่ตัวเมือง Sasebo ก่อน เราจึงต้องเปลี่ยนขบวนกันนิดนึง ถ้าจะเข้าตัวเมือง เราก็สามารถย้ายไปนั่งตู้ที่พ่วงมาด้วยกัน ที่ถูกเรียกว่าขบวน “Midori“ เมื่อแยกกันที่สถานี Haiki แล้วมุ่งหน้าต่อไปยังสถานี Sasebo ได้เลย
เว็บไซต์: https://travel.sasebo99.com/en/
สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
Awashima Shrine
เอาฤกษ์เอาชัยกับการมาเยือนเกาะคิวชู ด้วยการแวะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขอพรกันตั้งแต่วันแรกเลย ซึ่งศาลเจ้าอาวาชิมะ (Awashima Shrine) ถือเป็น Power Spot แห่งหนึ่งของเมืองซาเซโบะ แล้วที่นี่ยังมีจุดให้ถ่ายรูปเช็คอินลงอินสตาฯ กันอีกด้วยนะ
โทริอิจิ๋ว แห่งศาลเจ้า Awashima
ที่นี่เป็นศาลเจ้าเล็กๆ ที่มีเอกลักษณ์ สร้างขึ้นราวปี 1812 ผู้ศรัทธานิยมมาขอพรเพื่อความอุดมสมบูรณ์และขอบุตร และจุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้ก็คือประตูเทพเจ้าหรือโทริอิ (Torii) ซึ่งมีขนาดเล็กมากๆ โดยโทริอิที่เล็กที่สุดของที่นี่สูงเพียง 27 ซม. เท่านั้น หลายคนกล่าวกันว่าเป็นโทริอิที่เล็กที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว วิธีขอพรขอที่นี่จึงไม่เหมือนใคร นั่นคือการลอดเสาโทริอิจิ๋วนี่เอง จุดนี้แหล่ะที่นักท่องเที่ยวอย่างเราต้องมาถ่ายภาพเช็คอินกันซะหน่อย แต่ว่าจะขอพรตามวิธีปกติ สไตล์ศาลเจ้าชินโตทั่ไปก็ไม่ผิดกติกานะ (แค่มันอาจจะไม่คูล!)
ที่ศาลเจ้า มีการเตรียมเสื่อให้ สำหรับผู้ที่จะขอพรโดยการลอดเสาโทริอิโดยเฉพาะด้วยนะ
วิวทิวทัศน์รอบๆ ศาลเจ้า ก็ดีงามด้วย
ใกล้ๆ กับศาลเจ้าแห่งนี้ ยังมีจุดชมวิว “Funakoshi Observatory” ที่สามารถชมวิวพื้นที่ Kujukushima ซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเลที่สวยงามของแถบนี้ได้อย่างเต็มๆ ตา Kujukushima วิวดีงามถึงขนาดเคยเป็นฉากถ่ายทำหนังเรื่อง “The Last Samurai” ด้วยนะ
“Kujukushima” จากจุดชมวิว Funakoshi Observatory
*Kujukushima แปลตรงๆ ตัวว่า 99 เกาะ แต่จริงๆ แล้ว มีทั้งหมดถึง 208 เกาะ โดยตั้งชื่อให้เป็นสิริมงคล ประมาณนั้น… ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Saikai National Park
เว็บไซต์: https://power-spot.me/en/awashimajinja/
สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
Kujukushima Park (จุดชมวิว)
จุดชมวิวแห่งใหม่ Kujukushima Park กว้างใหญ่อลังการ มองเห็นวิวได้แบบ 360 องศา แถมยังมีป้ายเก๋ๆ ให้เราได้ถ่ายรูปเช็คอินด้วย จุดนี้สวยจริง ถ้ามีโอกาสก็อยากให้แวะมากันด้วยนะ (ขอให้โชคดี.. ไม่มาช่วงที่พายุเข้าเหมือนเรา T_T)
Kujukushima Park
จุดนี้สามารถนั่งรถบัสจากสถานี Sasebo มาลงที่ป้าย Tenkaiho Iriguchi แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีก็ถึง เดินทางไม่ยากอย่างที่คิด อาจจะติดอยู่แค่ตรงที่ว่าวันที่ไป อากาศจะดีหรือเปล่า ชมฟรีไม่เสียสตางค์ ถ้ามีเวลาก็แวะไปกันนะ
Kujukushima
จุดชมวิว Kujukushima Park ในวันที่ฟ้าเปิด… จะสวยสุดๆ แบบนี้เลย
เว็บไซต์: https://travel.sasebo99.com/en/todo/todo_2990
Kujukushima Pearl Sea Resort
Kujukushima เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติทางทะเล Saikai National Park ถือได้ว่าเป็น Landmark ทางธรรมชาติอย่างหนึ่งของเมืองซาเซโบะ ที่นี่มีกิจกรรมทางทะเลให้เลือกหลากหลาย และกิจกรรมหนึ่งที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวมากๆ ก็คือการล่องเรือชมวิวทางทะเล ซึ่งมีเกาะน้อยใหญ่กว่า 200 เกาะเป็นไฮไลท์สำคัญ
ในส่วนของการล่องเรือ มีให้บริการ 3 แบบ คือ เรือเล็ก “Kujukushima Relaxing Cruises” ซึ่งซอกแซกเข้าชมเกาะเล็กเกาะน้อยได้ง่าย ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ราคาผู้ใหญ่คนละ 2,200 เยน ถ้าเป็นเรือใหญ่สไตล์เรือราชวงศ์ “Kujukushima Cruising Boat Pearl Queen” สามารถนั่งชมวิวในบรรยากาศหรูหราอลังการ ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ราคาผู้ใหญ่คนละ 1,800 เยน และเรือใหญ่สไตล์เรือโจรสลัด “Kujukushima Pirate Boat Mirai” ก็ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ราคาผู้ใหญ่คนละ 1,800 เยนเหมือนกัน
นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Kujukushima Aquarium Umi Kirara ซึ่งจัดแสดงสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลของ Kujikushima เพื่อแสดงถึงความหลากหลายของระบบนิเวศน์ทางทะเลของที่นี่ จุดนี้มีค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 1,470 เยน
Kujukushima Aquarium Umi Kirara
อควาเรี่ยมแห่งนี้ยังมีกิจกรรมแกะหอยมุก (Hands-on Pearl Harvest) เป็นกิจกรรมเด่นของที่นี่ เพราะที่ Kujukushima นั้น เป็นแหล่งผลิตหอยมุกชั้นดี กิจกรรมนี้ใช้เวลาแค่ 5 นาที ราคา 650 เยน ไข่มุกที่แกะออกมาได้ สามารถนำกลับไปเป็นของที่ระลึก หรือนำไปทำเป็นเครื่องประดับก่อนก็ได้ด้วย (มีค่าใช้จ่าย)
ทั้งหมดนี้เป็นบริการที่มีอยู่ที่ Kujukushima Pearl Sea Resort ถ้ามีโอกาสได้มาซาเซโบะ แล้วอยากชมความเป็นธรรมชาติของ Kujukushima ก็แวะมาที่นี่ได้นะ
Kujukushima Pearl Sea Resort เว็บไซต์: https://pearlsea.jp/en
กิจกรรมล่องเรือ เว็บไซต์: https://99cruising.jp/en
Umi Kirara เว็บไซต์: https://umikirara.jp/en
กิจกรรมแกะหอยมุก: https://umikirara.jp/en/layout/layout_332/
ธีมพาร์ค
Huis Ten Bosch
มาถึงเมืองซาเซโบะ จะไม่มาเที่ยว “Huis Ten Bosch” ได้ยังไง คืนแรกเราจึงได้ไปหลบพายุที่เฮ้าส์เทนบอชกัน (เรามาเที่ยวช่วงไต้ฝุ่นเข้าพอดี ใครจะมาญี่ปุ่น ก็ต้องหมั่นเช็คอากาศกันบ่อยๆ นะ)
เฮ้าส์เทนบอช เป็นธีมปาร์คที่อยู่ริมทะเลชานเมืองซาเซโบะ เป็นสวนสนุกในธีมที่ไม่เหมือนใคร เพราะจัดมาในธีมของประเทศเนเธอร์แลนด์ (ฮอนแลนด์) ที่มีหลายๆ สิ่งอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทางสวนสนุกก็นำเอาลักษณะเด่นเหล่านั้นมาใส่ไว้ในสวนสนุกแห่งนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถาปัตยกรรมต่างๆ บรรยากาศของเมืองแห่งสายน้ำ (ฮอนแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล แต่ว่าอยู่ติดทะเล! ก็มีการคมนาคมทางน้ำที่โดดเด่น) กังหันลม และทุ่งทิวลิป เป็นต้น
กิจกรรมล่องเรือคือ… ดีนะ! นั่งจากโซนด้านหน้า ไปโผล่ที่โซนด้านหลังได้เลย (ขอยืนยันว่าที่นี่กว้างขวางสุดๆ)
นอกจากมุมถ่ายรูปสวยๆ… Attraction ต่างๆ ที่น่าสนใจก็มีหลายจุดนะ
ภายในอาคารต่างๆ มีทั้งร้านขายของ ร้านอาหาร และจุดแสดงโชว์ต่างๆ และหากจะเดินเล่นให้ทั่วทั้งหมด วันเดียวก็ไม่น่าจะพอ แล้วก็แนะนำเลยว่าควรมีแผนที่ของสวนสนุกติดตัว ไม่งั้นจะหลงได้ง่ายๆ เพราะที่นี่ใหญ่โตจริงๆ
“Comte de Chocolat” ร้านช็อคโกแลต / พิพิธภัณฑ์ช็อคโกแลต ที่น่าโดนมาก
(เครื่องเล่นเราอาจจะไม่ค่อยยุ่ง… มุ่งแต่ร้านช้อป & ชิม)
มาถึงนี่แล้ว… ต้องลองสักนิด!
และด้วยความที่เรามาถึงในวันที่ไต้ฝุ่นกำลังจะเข้า เราจึงเปลี่ยนแผนการเดินทางนิดหน่อย โดยจะเที่ยวเล่นอยู่ในสวนสนุก หรือธีมปาร์ค Huis Ten Bosch แห่งนี้กันเยอะขึ้นนิดนึง เพราะจะได้ไม่ต้องเสี่ยงเรื่องการเดินทาง หากจะเปียก ก็เปียกกันอยู่ในนี้แหล่ะ แถมยังใกล้อยู่โรงแรมอีกด้วย
หลังจากที่เราเอากระเป๋าไปทิ้งไว้ที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว เราก็เข้าไปเดินเที่ยวเล่นที่ Huis Ten Bosch กันพักใหญ่ กินมื้อค่ำในร้านอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ ภายในสวนสนุก แล้วก็วิ่งตากฝนฝ่าลมแรงกลับมายังโรงแรมของเรากัน
กลางคืนที่นี่มีการประดับไฟสวยๆ ด้วย ถึงจะไม่ใช่เทศกาล Illumination แบบเต็มรูปแบบ ยังสวยเลย
แล้วเช้าวันรุ่งขึ้น เราก็ยังกลับไปเที่ยวใน Huis Ten Bosch กันต่อ (บอกแล้วว่าวันเดียวไม่จบ) ซึ่งจริงๆ ก็เพราะไม่อยากออกเดินทางในช่วงไต้ฝุ่นเข้าเป๊ะๆ นั่นเอง แต่ก็ทำให้มีโอกาสได้เข้าชมในโซน Fantasia City of Light อย่างเช่นที่ Flower Fantasia แล้วก็ Aquarium Fantasia เพิ่มด้วย สวยเก๋ดี…
Fantasia City of Light
เว็บไซต์: https://english.huistenbosch.co.jp/
ช้อปปิ้ง
Sasebo Gobangai
ที่สถานี Sasebo เราสามารถเดินข้ามถนน แค่นาทีเดียว ก็จะถึงบริเวณท่าเรือซาเซโบะ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจุดที่ไม่ควรพลาดหลายอย่างในเมืองนี้ รวมถึง Sasebo Seaside Park ท่าเทียบเรือ Kujiraze Terminal และช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ขนาดย่อมอย่าง Sasebo Gobangai ซึ่งบริเวณด้านหน้าจะมีจุดเช็คอิน ที่เหมาะกับสายอินสตาฯ สายถ่ายรูป เป็น Photo Spot จุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเมืองซาเซโบะ
ถึงแล้วสถานี Sasebo ออกมาจากสถานี ก็จะถึงท่าเรือสวยๆ เก๋ๆ แบบนี้เลยจ้า
Sasebo Gobangai
มาถึงแล้ว จุดเช็คอินแรกของเรา “Sasebo” ตั้งอยู่ที่บริเวณท่าเรือ หน้า Sasebo Gobangai แหล่งเที่ยว ชิม ชิล ชิคๆ ของซาเซโบะ
เว็บไซต์: http://sasebo-5bangai.com/
อาหาร
Fuji Naga Honten (มาฝึกทำซูชิกันจ้า)
ซาเซโบะเป็นเมืองติดทะเลที่อุดมสมบูรณ์มากแห่งหนึ่งของจังหวัดนางาซากิ จึงมีชื่อเสียงในเรื่องวัตถุดิบสดใหม่และมีคุณภาพจากท้องทะเล งั้นมาลองฝึกทำซูชิกันดูสักตั้งสิจ้ะ
เราไปกันที่ร้าน Fuji Naga Honten ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Hidariishi จะเดินหรือนั่งรถมาที่ร้านก็ได้ เพียงแค่ 10 นาที และคอร์สเรียนทำซูชิแบบง่ายๆ ที่จะกลายเป็นมื้อกลางวันของเราในวันนี้ด้วย… เป็นคอร์สราคา 6,000 เยน ใช้เวลารวมแล้วประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง (ตั้งแต่ขั้นตอนการทำ จนถึงตอนกินเสร็จเลย)
เซนเซเตรียมอุปกรณ์ให้เรียบร้อย ผ้ากันเปื้อนพร้อม หมวกพร้อม ขาดแต่… สติ
วันนี้เราจะทำกัน 3 เมนู เริ่มกันด้วยเมนูไข่ม้วน (Dashimaki) แม้เซนเซจะเตรียมวางขั้นตอนเป็นภาษาอังกฤษพร้อมรูปภาพประกอบไว้ให้ รวมทั้งยังสาธิตให้ดูถึงสองครั้ง อิฉันก็ยังทำพังแล้วพังอีก สุดท้ายต้องให้เซนเซมาช่วยทำให้ด้านนอกไข่ม้วนของอิฉันดูพอรับได้ขึ้นมาบ้าง (มีปัญหาอย่างหนักกับการร่อนกระทะและใช้ตะเกียบ พร้อมกันทั้งสองมือ T_T) จนถึงกับต้องตั้งปณิธานไว้ว่า กลับเมืองไทยไป จะฝึกให้เป็นมืออาชีพกับเมนูนี้เลยทีเดียว ประเด็นคือเพื่อนๆ ร่วมก๊วนทำออกมาดูดีกันเกินเหตุ
ไข่ม้วน ที่ข้อมือและกระทะ ไม่ประสานงานกันสักเท่าไร สภาพ… (-_- )
เมนูที่สอง เป็นซูชิแบบม้วน หรือ Maki Sushi เมื่อกี้เล่นกับไฟ คราวนี้มาเล่นกับเสื่อไม้ไผ่ ถ้ารู้เทคนิคที่ถูกต้องแล้ว ทำตามที่เซนเซสอน ก็ไม่ยาก ออกมาใช้ได้เลยล่ะ
มากิฝีมือเรา พอตัดแล้ว ก็สวยงามอยู่นะ
และเมนูสุดท้าย ก็คือซูชิแบบเป็นคำๆ หรือ Nigiri Sushi นั่นเอง นี่ก็ไม่ยากนะ เพราะเซนเซทำให้ดูทั้งวิธีแบบมืออาชีพ และวิธีแบบมือสมัครเล่น แน่นอนว่าเราเลือกวิธีแบบมือสมัครเล่น กำๆ ขยำๆ แล้วก็โปะปลาลงไป บีบๆ นวดๆ อีกนิดหน่อย ก็เสร็จแล้ว ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ ในจุดที่ว่า ต่อให้เอาตะเกียบคีบจิ้มโชยุ ข้าว+ปลา ก็ยังไม่แยกร่างหรือหลุดรุ่ย
จัดจานสักหน่อยด้วย Nigiri Sushi กับ Maki Sushi… แอบภูมิใจในตัวเองเบาๆ
พอได้ครบทุกเมนู และจัดแต่งจานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็พร้อมจะรับประทานมื้อกลางวันกันสักที ซึ่งทางร้านจะนำองค์ประกอบอื่นๆ มาจัดเข้าเซ็ตร่วมกับเมนูที่เราทำด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้าว ซุปมิโสะ ไข่ตุ๋น ของหวาน และตบท้ายด้วยชา/กาแฟ
ได้เวลาชิม!
ถ้าคิดกันเล่นๆ ก็ถือว่า 6,000 เยนนี้ เป็นค่าอาหารสัก 2,500 เยน แล้วก็เป็นค่าเรียนอีก 3,500 เยน ประมาณนั้นละมั้ง คุ้มค่าอยู่นะ ลองมาทำกันดูได้
เว็บไซต์: https://www.fujinaga.com/ (ภาษาญี่ปุ่น)
Hananoya
ทริปนี้เรามาเที่ยว Huis Ten Bosch ที่มาในธีมแบบยุโรปแท้ๆ แต่พวกเรากลับสนใจร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ในสวนสนุกแห่งนี้! ดูย้อนแยงดี ทั้งๆ ที่ในนี้มีร้านอาหาร ร้านขนม ร้านคาเฟ่ ฯลฯ ให้เลือกเพียบ! แต่พอได้ลองชิมแล้ว ก็รู้สึกว่าคิดไม่ผิด อร่อยมากๆ ทุกเมนู! ดูประณีตไปหมด ตั้งแต่วัตถุดิบ หน้าตา ไปจนถึงรสชาติ
ร้านนี้ชื่อว่า “Hananoya” ซึ่งอยู่ในโซน Harbor Town ของ Huis Ten Bosch ชื่อเรื่องการนำวัตถุดิบท้องถิ่นของจังหวัดนางาซากิมาใช้ เมนูเด่นของที่นี่ ก็แน่นอนว่าต้องมีเนื้อวากิวนางาซากิและปลากะพง วัตถุดิบเลอค่าประจำถิ่น
สำหรับอาหารเซ็ตนี้… ทางร้านมีการแนะนำวิธีกินให้เราได้ลองในหลายรูปแบบเลย
เว็บไซต์: https://english.huistenbosch.co.jp/gourmet/70
ที่พัก
Hotel Okura JR Huis Ten Bosch
สำหรับที่พักที่ Huis Ten Bosch เราพักที่ Hotel Okura JR Huis Ten Bosch อยู่ด้านนอกธีมปาร์ค แต่เรียกว่าอยู่หน้าประตูกันเลยทีเดียว
ห้องพักกว้าง เดินสบาย เตียงใหญ่ แน่นแต่เด้งดีมาก
ห้องออนเซนกว้างขวางทั้ง 2 ห้อง (ชาย-หญิง) แล้วก็ยังมีโซนกลางแจ้งที่น่าแช่มากๆ ด้วยล่ะ
โซนช้อปปิ้งในโรงแรม ของฝากของที่ระลึกหลากหลาย แล้วยังมีร้านสะดวกซื้ออยู่ด้วยล่ะ
เรื่องมาตรฐานการบริการของโรงแรมโอคุระไม่มีข้อกังขาใดๆ อยู่แล้ว แต่ด้วยที่ตั้งซึ่งอยู่ติดกับตัวธีมปาร์ค ใกล้สถานีรถไฟ ห้องพักดีงาม วิวดี มีร้านค้าร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่อยู่ด้านใน ห้องออนเซ็นอลังการ อาหารก็อร่อย แถมราคาก็ยังพอเอื้อมถึง โรงแรมแห่งนี้จึงถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีงามมากเลยทีเดียว
อาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ รสชาติดีเลย แล้วก็หลากหลายเอาการ (นี่แค่ตัวอย่างเองนะ)
จากสถานีรถไฟ Huis Ten Bosch เราสามารถมองเห็นโรงแรมได้เลย ซึ่ง Hotel Okura JR Huis Ten Bosch เป็นโรงแรมในเครือ Okura-Nikko ของญี่ปุ่น ที่ตั้งอยู่ติดกับธีมปาร์ค Huis Ten Bosch เลย และแม้ว่าภายใน Huis Ten Bosch จะมีโรงแรมเจ๋งๆ อยู่หลายแห่ง แต่ Hotel Okura JR Huis Ten Bosch แห่งนี้ ก็ถือว่าเด็ด ไม่แพ้กัน
ออกจากสถานีมาก ก็จะเห็นโรงแรมฯ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้าเลย (ถ้าเดินตรงไป ก็คือ Huis Ten Bosch แล้ว)
เว็บไซต์: https://www.okura-nikko.com/japan/nagasaki/hotel-okura-jr-huis-ten-bosch/
จองโรงแรม: Hotel Okura JR Huis Ten Bosch
การเที่ยวเมืองซาเซโบะ ในช่วงที่ยังมีสถานการณ์การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่นั้น เราจะเห็นสิ่งจำเป็นต่อมาตรการการป้องการการแพร่เชื้อหลายอย่างอยู่ทั่วไปเป็นปกติ อาทิ เจลแอลกอฮอล์ จุดตรวจวัดอุณหภูมิ แผ่นอะคริลิคกั้นพื้นที่ รวมถึงป้ายเตือนการสวมหน้ากากอนามัย และชาวญี่ปุ่นแทบทุกคนยังคงใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา สร้างความเชื่อมั่นในการมาเที่ยวได้อย่างดีทีเดียว
สเปรย์แอลกอฮอล์เยอะมาก
(Huis Ten Bosch)
สำหรับเมืองซาเซโบะ ทริปนี้เราจะเที่ยวกันประมาณนี้ก่อน หากมีโอกาสก็อยากจะมาเที่ยว เพราะน่าจะยังมีอีกหลายจุดที่เราพลาดไป แล้วจะกลับมาอีกนะ
ส่วนตอนหน้า เราจะเที่ยวกันต่อที่เมืองฮิตะ จังหวัดโออิตะ ฝากติดตามกันด้วยนะจ้ะ
เรื่องแนะนำ :
– ตะลุยเที่ยว 4 เมืองน่าสนใจบนเกาะคิวชูตอนเหนือ EP.4 “Fukuoka”
– ตะลุยเที่ยว 4 เมืองน่าสนใจบนเกาะคิวชูตอนเหนือ EP.3 “Kitakyushu”
– ตะลุยเที่ยว 4 เมืองน่าสนใจบนเกาะคิวชูตอนเหนือ EP.2 “Hita”
– 10 สถานที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวจังหวัดไอจิ (Aichi)
– แนะนำกิจกรรมน่าสนใจของจังหวัดไอจิในช่วงสิ้นปี-ปีใหม่
#ตะลุยเที่ยว 4 เมืองน่าสนใจบนเกาะคิวชูตอนเหนือ EP.1 “Sasebo” #Sasebo #Kyushu