“เที่ยวคิวชู” มือใหม่ก็ไปได้ ตอนที่ 1 … ทางฟากตะวันออกของเกาะคิวชู มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายจุด มีทั้งแนวธรรมชาติ วัฒนธรรม และแหล่งออนเซนยอดนิยม สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่เคยมาเยือนเกาะคิวชู บริเวณนี้ถือเป็นโซนที่ต้องมาเที่ยวกันก่อนเลย It’s a must!
เดี๋ยวนี้ไปญี่ปุ่นไม่ยากอย่างที่คิด!! อย่างแถบ Kyushu นั้น อยู่ใกล้เมืองไทยมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ นั่งเครื่องแค่ไม่กี่ชั่วโมง ยังไม่ทันจะงีบด้วยซ้ำ ก็ถึงแล้ว…
ยิ่งตอนนี้มีสายการบินต้นทุนต่ำอย่าง Thai Lion Air เปิดเส้นทางบินตรงทุกวันสู่เมือง Fukuoka เมืองใหญ่อันดับหนึ่งของเกาะคิวชู ยิ่งเพิ่มความสะดวกสบาย ในราคาที่เอื้อมถึง ถูกใจนักท่องเที่ยวสายประหยัดอย่างแน่นอน
ทริปคิวชูคราวนี้ Thai Lion Air นำเราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองในช่วงกลางดึก มาถึงสนามบินฟุกุโอกะในตอนเช้า ซึ่งเป็นไฟล์ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชื่นชอบ เพราะลงเครื่องปุ๊บ ก็ไปเที่ยวกันต่อได้เลย ไม่เสียเวลา …
ทางฝากตะวันออกของเกาะฮอนชูนั้น มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายจุด มีทั้งแนวธรรมชาติ วัฒนธรรม และแหล่งออนเซนยอดนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัด Oita (โออิตะ) สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่เคยมาเยือนเกาะคิวชู บริเวณนี้ถือเป็นโซนที่ต้องมาเที่ยวกันก่อนเลย It’s a must!
โดยจากสถานีรถไฟ Hakata ของ JR Kyushu จะมีเส้นทางรถไฟสาย Kagoshima Main Line เชื่อมต่อกับสาย Kyudai Line ที่สามารถนำเราออกจากเมืองฟุกุโอกะ มุ่งหน้าไปสู่จังหวัดโออิตะ ที่อยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของเกาะคิวชูได้ แถมบนเส้นทางนี้ JR Kyushu ยังมีบริการเป็น Sightseeing Train เพื่อเอาใจนักท่องเที่ยวอีกด้วย ซึ่งก็คือรถไฟขบวนพิเศษ Yufuin no Mori นั่นเอง
https://www.jrkyushu.co.jp/english/train/yufuin_no_mori.html
นอกจากจะได้ไปเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวที่มีความเป็นญี่ปุ่นๆ สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่นแล้ว การได้นั่งรถไฟท่องเที่ยวที่เป็นเสน่ห์ของการเดินทางในญี่ปุ่นด้วยแล้วละก็ ยิ่งตอบโจทย์ของนักเดินทางได้เป็นอย่างเดียว อย่างที่กล่าวไปแล้ว ถ้าจะมาคิวชูสักครั้ง ควรมาที่เส้นทางนี้เป็นอันดับต้นๆ (^^)
ที่บริเวณกลางทางที่รถไฟขบวน Yufuin no Mori นี้วิ่งผ่าน เป็นที่ตั้งของเมือง Hita (ฮิตะ) เมืองเก่าแก่ของจังหวัดโออิตะที่ครั้งหนึ่งเคยเฟื่องฟูมาก และปัจจุบันยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวยังคงสามารถมาเดินเล่นดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ยังคงมีกลิ่นอายแบบญี่ปุ่นโบราณอยู่ได้
ที่เมืองฮิตะนี้ เคยรุ่งเรืองขนาดไหน?!? ก็ขนาดว่า… มีย่านเก่าแก่ ที่ได้ฉายานามว่า “Little Kyoto แห่งเกาะคิวชู” เลยทีเดียวแหล่ะ ย่านนี้ชื่อว่า Mameda Machi ซึ่งเป็นเมืองปราสาท (ย่านที่พักอาศัยของชาวเมืองที่อยู่นอกปราสาท) เป็นหนึ่งในย่านการค้าและแหล่งบันเทิงเก่าแก่ยุคเอโดะ สมัยโชกุนตระกูล Tokugawa ที่ทางการญี่ปุ่นยังคงอนุรักษ์เอาไว้
ไฮไลท์ในย่าน Mameda Machi นี้ ไม่ได้มีเพียงแต่มนต์เสน่ห์ของอาคารบ้านเรือนที่เก่าแก่ ร้านอาหาร ร้านของฝาก ร้านขนมที่มีให้เลือกชม ชิม ช้อป กันอยู่เกือบ 100 ร้านเท่านั้น เนื่องจากในสมัยก่อน ย่านนี้โด่งดังมากในเรื่องการทำตุ๊กตาฮินะ และรองเท้าโบราณแบบญี่ปุ่น ที่เรียกว่า “เกตะ” หรือเกี๊ยะ นั่นเอง ของฝากของที่ระลึกยอดนิยมจากย่านนี้จึงมักจะเป็นพวกตุ๊กตาฮินะ หรือเกตะนี่แหล่ะ
และจุดที่แนะนำว่าไม่ควรพลาดก็คือ พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาฮินะ ที่มองจากด้านหน้าก็เหมือนอาคารร้านค้าทั่วไป แต่ด้านในใหญ่โต และมีตุ๊กตาฮินะทั้งที่เก่าแก่ และหายาก อยู่มากมาย เข้าไปแล้วจะรู้สึกประทับใจกับความอลังการของหมู่มวลตุ๊กตาฮินะกันเลยทีเดียว
(แต่แอบเดินคนเดียว แล้วเสียวๆ อยู่นิดๆ รู้สึกเหมือนโดนจ้องมองตลอดเวลา เพราะตุ๊กตาเป็นแสนตัว มันเยอะมาก จินตนาการก็เลยฟุ้งซ่านแบบไม่ธรรมดา ฮะๆ)
จุดแวะที่สองของรถไฟขบวน Yufuin no Mori บนเส้นทางรถไฟสาย Kyudai Line ที่แนะนำว่าควรค่าแก่การมาเยือน ก็คือเมือง Yufuin (ยุฟุอิน) นั่นเอง
ยุฟุอิน เป็นเมืองเล็กๆ น่ารัก ท่ามกลางขุนเขาและธรรมชาติ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้กว่าปีละ 4 ล้านคน
เมืองยุฟุอินนั้น ที่จริงแล้วเป็นเมืองออนเซ็นที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัดโออิตะ แต่นอกจากวิวทิวทัศน์ที่สุดยอดแล้ว ชาวเมืองยังร่วมใจกันอัพภาพลักษณ์ของเมืองให้มีบรรยากาศที่เป็นกลิ่นอายตะวันตกผสมผสานกับความเป็นญี่ปุ่น เหมาะกับการเดินเล่นชมเมือง ชิมของอร่อยในร้านอาหารชิคๆ หรือดื่มด่ำกับวิวเมืองแบบสบายๆ ในร้านกาแฟเก๋ๆ แถมยังสามารถเพลิดเพลินในวันพักผ่อนไปกับหมู่บ้านจำลองสไตล์ยุโรปอย่าง Yufuin Floral Village ได้อีกด้วย นี่เป็นแค่ตัวอย่างของกิจกรรมเบาๆ ที่เราสามารถมาใช้เวลากันที่นี่ได้
บรรยากาศ.. ถือเป็นจุดขายสำคัญของเมืองนี้ ที่ยกระดับขึ้นมาจากความงดงามตามธรรมชาติของภูเขาไฟที่ดับแล้วอย่าง Mt. Yufudake ทะเลสาบน้ำใสแจ๋วอย่าง Lake Kinrinko และการเป็นเมืองออนเซ็น ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศต่างประทับใจ
และที่ปลายทางของเส้นทางรถไฟขบวน Yufuin no Mori ก็คือที่ตั้งของเมือง Beppu (เบปปุ) จังหวัด Oita
ณ เมืองแห่งนี้… ยามที่รถไฟแล่นเข้าเขตเมือง เราจะได้เห็นบรรยากาศของเมืองชายฝั่งทะเล ที่แปลกตาไปด้วย ควัน ควัน ควัน และควัน ซึ่งเกิดขึ้นจากแหล่งความร้อนใต้พิภพ เนื่องจากเมืองเบปปุ เป็นเมืองออนเซ็นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดโออิตะ ทั่วทั้งเมืองจึงมีทั้งโรงอาบน้ำแร่สาธารณะ และที่พักประเภทเรียวกังที่นักท่องเที่ยวสามารถผ่อนคลายไปกับการแช่น้ำแร่อยู่มากมาย
เบปปุนั้นถือเป็นเมืองตากอากาศที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ไฮไลท์สำคัญของเมืองเบปปุก็คือ ‘ทัวร์นรก’ หรือที่เรียกว่า “Beppu Jigoku Meguri” ซึ่งเป็นการเที่ยวชมบ่อน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงทั้ง 7 แห่งของเมืองเบปปุ ได้แก่ Uji Jigoku (sea hell), Chinoike Jigoku (blood pond hell), Tatsumaki Jigoku (tornado hell or waterspout hell), Shiraike Jigoku (white pond hell), Oniishibozu Jigoku (Oniishi mud hell), Kamado Jigoku (stove hell หรือ boiling hell) และ Oniyama Jigoku (demon mountain hell หรือ crocodile hell)
*คำว่า Jigoku แปลว่า นรก … นัยว่าบ่อน้ำพุร้อนต่างๆ นั้นร้อนราวกับนรกกระมัง
http://www.beppu-jigoku.com/
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าระหว่างที่เราเดินเที่ยวอยู่ในเมืองเบปปุ จะเห็นนักท่องเที่ยวทั่วไป โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและชาวตะวันตกเดินกางแผนที่ทัวร์นรก เพื่อจะได้ทำการ Walk rally ไปให้ครบทุกบ่อ
และบ่อนรกที่นักท่องเที่ยวที่อาจจะมีเวลาไม่มาก ไม่สามารถไปให้ครบทุกบ่อได้ มักจะไปเที่ยวชมกันก็คือ Sea Hell หรือ Umi Jigoku (ทะเลนรก หรือบ่อทะเล) ด้วยความที่อยู่ในจุดที่เข้าถึงง่าย มีการจัดสถานที่ไว้อย่างดี เป็นระบบระเบียบ มีจุดแช่เท้าฟรี (foot bath) และร้านค้าให้ช้อปปิ้งของฝาก ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวไปครบ
โดยที่บ่อทะเลนั่นก็สีสวยสมชื่อ เพราะสีของน้ำพุร้อนที่นี่ เป็นสีฟ้าใส (cobalt blue) ด้วยแร่ธาตุที่อยู่ในน้ำที่ทำปฏิกิริยากันจนทำให้เราสามารถมองเห็นสีของน้ำเป็นสีฟ้าสดใสเช่นนี้ เป็นบ่อที่มีความลึกราว 200 เมตร และมีอุณหภูมิเฉลี่ยถึง 98 องศาเซลเซียส อย่าได้ตกลงบ่อไปทีเดียว สุกแน่นอน!
และด้วยความที่เมืองเบปปุมีแหล่งพลังงานความร้อนจากได้ดินอย่างอุดมสมบูรณ์ จึงมีการนำพลังงานนี้มาใช้ตามภูมิปัญญาชาวบ้านมาตั้งแต่ครั้งอดีต นอกเหนือจากการแช่ตัวเพื่อสุขภาพที่ดี ซึ่งก็น่าสนใจไม่น้อยก็น่าจะเป็นการนำมาใช้ในครัวนี่แหล่ะ
ร้านอาหาร Jigoku Mushi Kobo Kannawa เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ใช้วิธีการปรุงอาหารแบบดั้งเดิมของคนที่นี่มาเป็นจุดขาย ซึ่งก็เรียกลูกค้าได้ดีทีเดียว
ทางร้านใช้สไตล์การปรุงอาหารโดยการนึ่งไอน้ำจากบ่อน้ำพุร้อน วิธีนี้เรียกว่า “Jigoku Mushi” เป็นวิธีการปรุงอาหารของชาวเมืองเบปปุมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และได้รับความนิยม ฮิตมากในช่วงสมัยเอโดะ
ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มายังร้าน Jigoku Mushi Kobo Kannawa นี้ สามารถทดลองประสบการณ์การปรุงอาหารด้วยวิธี Jigoku Mushi ด้วยตัวเองได้ เนื่องจากทางร้านเปิดโอกาสให้เราเลือกของสดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผักสด เนื้อสัตว์ หรืออาหารทะเล ตามแบบที่เราชอบ พอชำระเงินแล้ว ก็นำไปนึ่งไอน้ำจากบ่อน้ำพุร้อน (โดยมีพนักงานของทางร้านของแนะนำ และช่วยเหลือ)
แต่ละเมนู จะสุกเร็วหรือช้า ก็ขึ้นอยู่กับของสดที่เราเลือก ส่วนใหญ่ที่จะอยู่ 5 – 15 นาทีเท่านั้น! เมนูที่เหมาะกับการนึ่งด้วยวิธีนี้ก็จะเป็นพวกผัก แต่แม้แต่เนื้อวัวนึ่งหรืออาหารทะเลนึ่งของที่นี่ ก็ได้รับความนิยม และทางร้านยังแนะนำให้ลองชิมไข่นึ่งทั้งฟองอีกด้วย (หน้าตาประมาณไข่ต้ม แต่ได้มาจากวิธีการนึ่งไอน้ำพุร้อน) รสชาติจะเป็นอย่างไร ต้องไปลิ้มลองกันดูนะ
ร้าน Jigoku Mushi Kobo Kannawa
ที่ตั้ง : 874-0044 Furomoto 5-kumi, Beppu-shi (แถวๆ Ideyu-zaka slope)
การเดินทาง : นั่งแท็กซี่ไปได้จากสถานีรถไฟ Beppu Daigaku (Nippo Main Line)
เวลาทำการ : 10.00 – 19.00 น.
โทร : 0977-66-3775
ทริปคิวชูครั้งนี้จะมีจุดท่องเที่ยวไหนน่าสนใจอีก มาติดตามชมกันต่อในตอนหน้านะ (^^)/
เรื่องแนะนำ :
– “เที่ยวคิวชู” มือใหม่ก็ไปได้ ตอนที่ 3
– “เที่ยวคิวชู” มือใหม่ก็ไปได้ ตอนที่ 2
– เที่ยวคิวชู (เหนือ) ด้วยรถไฟ JR Kyushu ตอนที่ 3
– เที่ยวคิวชู (เหนือ) ด้วยรถไฟ JR Kyushu ตอนที่ 2
– เที่ยวคิวชู (เหนือ) ด้วยรถไฟ JR Kyushu ตอนที่ 1
#เที่ยวคิวชู