เป็นที่รู้กันว่าเมื่อปี 11 มี.ค. 2011 มิยางิเป็น 1 ในจังหวัดของภูมิภาค Tohoku ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติสึนามีที่สร้างความเสียหาย โดยเฉพาะการเที่ยวมิยางิ…
เป็นที่รู้กันว่าเมื่อปี 11 มีนาคม 2011 จังหวัดมิยางิ (Miyagi) เป็น 1 ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติสึนามีที่สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ในแถบชายฝั่งของภูมิภาคโทโฮขุเป็นอย่างมาก
ถึงแม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะสร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง แต่ด้วยกำลังใจอันแข็งแกร่งของคนที่ในพื้นที่ ผ่านจากวันนั้นมาเป็นเวลา 8 ปีเต็ม จังหวัดมิยางิในวันนี้ได้รับการฟื้นฟูจนแทบจะเรียกได้ว่าเกือบจะสมบูรณ์ พื้นที่ส่วนใหญ่ได้ถูกบูรณะให้กลับคืนสู่สภาพเดิม บางพื้นที่ก็เก็บรักษาไว้เป็นอนุสรณ์ให้เป็นที่เตือนใจและให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และร่วมรับรู้กับมหันตภัยธรรมชาติที่เคยเกิดขึ้น เพื่อคอยระแวดระวังหากในอนาคตเกิดภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงขึ้นอีก จะได้เตรียมตัวป้องกันให้เกิดความสูญเสียให้น้อยที่สุด
เรามาตามไปดูกันต่อว่ามิยางิในวันนี้ วันที่ฟื้นคืนกลับมาแล้ว เป็นอย่างไรกันบ้าง
ที่เมือง Ishinomaki ในจังหวัดมิยางิ เป็นบ้านเกิดของอาจารย์โชทาโร่ อิชิโนะโมริ (Shotaro Ishinomori) นักเขียนการ์ตูนแนวแอ็กชั่นปนวิทยาศาสตร์ผู้ให้กำเนิดสร้างสรรค์เหล่าฮีโร่แปลงร่าง ผลงานเด่นๆ อาทิเช่น มังงะอันโด่งดังเรื่อง Cyborg 009, ซีรี่ย์โทคุซัทสึ ไอ้มดแดงคาเมนไรเดอร์ ที่พัฒนามาจากมังงะ Skullman, Ganbare Robocon, และขบวนการห้าสีซูปเปอร์เซนไตเรื่องแรกๆ อย่าง Himitsu Sentai Goranger หรือ ขบวนการ 5 จอมพิฆาต โกเรนเจอร์
ที่นี่จึงเป็นสถานที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์การ์ตูนอิชิโนโมริ (Ishinomaki Mangattan Museum) สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงอาจารย์โชทาโร่ อิชิโนะโมริ ปรมารจารย์แห่งวงการการ์ตูนญี่ปุ่น
Ishinomaki Mangattan Museum ได้เปิดตัวขึ้นครั้งแรกในวันที่ 23 กรกฏาคม ปี 2001 ด้วยอาคารรูปทรงไข่คล้ายจานบินยูเอฟโอ ในตัวอาคารมีทั้งส่วนผลงานต้นฉบับมังงะและส่วนแสดงนิทรรศการ
แต่แล้วเมื่อปี 2011 เมืองอิชิโนะมากิ เป็น 1 ในสถานที่ที่ถูกภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างหนัก บ้านเมืองเสียหายไปก็มาก แต่พิพิธภัณฑ์ยังคงตั้งตะหง่านต่อสู้กับภัยธรรมชาติจนรอดมาได้
ภายในตัวอาคารมีทั้งหมดสามชั้นแล้วน้ำได้ท่วมถึงชั้นที่สอง มีผู้ประสบภัยส่วนหนึ่งหนีขึ้นอยู่บนชั้นสามแล้วก็รอดปลอดภัย สมกับเป็นอาคารที่เต็มไปด้วยฮีโร่จริงๆ เมื่อมีส่วนที่เสียหายไปอยู่ไม่น้อย Ishinomaki Mangattan Museum ในวันนี้ได้รับการปรับปรุงบูรณะจนกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง โดยไม่ได้ท้ิงร่องรอยของความเสียหายไว้เลย
สำหรับใครที่เป็นแฟนหุ่นกระป๋อง Robocon หรือ Kanmen Rider ถ้ามา Miyagi แล้วคงต้องบอกว่า Ishinomaki Mangattan Museum เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ห้ามพลาด
การเดินทาง : เดินจากสถานี JR Ishinomaki ตรงไปบนถนน Manga Road ประมาณ 12 นาที (1 กม.)
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ราคา 800 เยน, นักเรียนมัธยมราคา 500 เยน, นักเรียนประถมราคา 200 เยน เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีไม่เสียค่าใช้จ่าย
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> http://www.mangattan.jp/manga/en/open/
จาก Ishinomaki เราข้ามไปยังเมือง Kesennuma ที่เป็นที่ตั้งของ Rias Ark Museum of Art พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และศิลปะร่วมสมัย
ด้วยความที่ตัวพิพิธภัณฑ์ตั้ง อยู่บนเนินเขาจึงทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิในปี 2011 จึงได้ใช้เป็นศูนย์ลี้ภัย และศูนย์กระจายของบรรเทาทุกข์สำหรับประชาชน ทำให้ปัจจุบันมีการจัดนิทรรศการ Documentary of The Great East Japan Earthquake and History of the Tsunami ที่บอกเล่าเรื่องราวของภัยพิบัติที่เกิดขึ้น มีการเก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ที่เสียหายรวมถึงพร้อมภาพถ่ายจากสถานที่จริงเป็นจำนวนมาก
พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมได้วันพุธ-วันอาทิตย์ เวลา 09.30-17.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 500 เยน
การเดินทาง : นั่งรถบัสจาก Kesennuma Station มาลงที่ Rias Ark Museum mae ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> http://rias-ark.sakura.ne.jp/2/
เมือง Kesennuma นี้ตั้งอยู่ริมทะเลและอยู่ใกล้กับบริเวณกระน้ำอุ่นและน้ำเย็นไหลมาบรรจบกัน ทำให้มีปลาชุกชุมเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปลาทูน่า ปลาดาบ หรือกระทั่งปลาฉลาม
ตลาดปลา Kesennuma (Kesennuma Fish Market) จึงถือได้ว่าเป็นตลาดประมูลปลาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัด Miyagi และยังอนุญาตให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมการประมูลปลาอีกด้วย เวลาที่เหมาะสมของการมาชมประมูลปลาคือช่วงเวลา 06.00 น.- 08.00 น.
แวะพักตาถ่ายภาพวิวทิวทัศน์สวยๆ ที่จุดชมวิวแหลม Karakuwa
การมาเที่ยวญี่ปุ่นนอกเหนือจากการพักโรงแรมหรือเรียวกังแล้ว ยังมีที่พักอีกรูปแบบหนึ่งที่จะพบได้ในย่านชนบทของญี่ปุ่นเท่านั้น เป็นลักษณะกึ่งๆ โรงแรม กึ่งๆ บ้านของคนญี่ปุ่น ซึ่งคนญี่ปุ่นจะเรียกที่พักแบบนี้ว่า Minshuku
Minshuku จะเป็นที่พักที่บริหารจัดการโดยครอบครัวคนญี่ปุ่น แต่ละแห่งมีห้องพักไม่มาก ให้อารมณ์เหมือนเราไปพักบ้านญาติในต่างจังหวัด
คืนนี้เราได้มีโอกาสมาพัก Minshuku แห่งหนึ่งในเมือง Kessenuma บรรยากาศก็เป็นอย่างที่บอกไปข้างต้น เจ้าบ้านต้อนรับดูแลเราเหมือนญาติคนหนึ่ง เข้าบ้านมาก็ชวนพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ตกเย็นก็เข้าครัวทำอาหารค่ำมาทานร่วมกัน อาหารที่เจ้าบ้านภูมิใจเสนอเป็นอย่างมากคือ สาหร่ายวากาเมะ เนื่องจากในบริเวณนี้มีการเพาะปลูกสาหร่ายวากาเมะเป็นจำนวนมาก และตัวเจ้าของบ้านเองนอกจากจะเปิดที่พักให้บริการแล้วก็ยังมีการปลูกสาหร่ายวากาเมะเป็นอาชีพหลักอีกด้วย
อาหารค่ำฝีมือเจ้าของบ้าน
สาหร่ายวากาเมะสดจะเป็นสีน้ำตาล
แต่เมื่อนำมาผ่านความร้อนจะกลายเป็นสีเขียว
ชุดอาหารเช้าฝีมือเจ้าบ้านเช่นกัน
เจ้าบ้านผู้ใจดีและอารมณ์ดีตลอดเวลา
สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> http://moriyasuisan.com
ตื่นเช้ามาพร้อมบอกลาเมือง Kessenuma มุ่งหน้าสู่เมือง Minamisanriku
ที่นี่มีตลาดท้องถิ่นที่มีชื่อว่า Minamisanriku Sun Sun Shopping Village (南三陸さんさん商店街) ถูกสร้างขึ้นโดยการรวบรวมชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สีนามิใหญ่ มาร่วมกันพัฒนาให้เป็นแหล่งซื้อขายอาหารทะเลสดๆ และของฝากของที่ระลึก
ที่ตลาดท้องถิ่นแห่งนี้ มีของฝากมากมายที่ผลิตในเมือง และแน่นอนที่สุดคือร้านอาหารทะเลที่ใช้วัตถุดิบสดๆ จากในท้องถิ่น เป็นหนึ่งจุดดึงดูดของที่นี่ทำให้ตลาดแห่งนี้มีผู้มาเยือนมากมายทั้งนักท่องเที่ยวรวมถึงคนญี่ปุ่นด้วยกันเอง
การเดินทาง : หากไปด้วยนั่งรถไฟสาย JR Kesennuma Line ลงที่สถานี Yanaizu แล้วเดินทางต่อรถบัสด่วน BRT ไปลงที่ป้าย BRT Shizugawa Station บริเวณหน้าตลาด หากมาจากเซนได้ สามารถนั่งรถบัสคันที่มุ่งไปยัง Minami-Sanriku และไปลงที่ป้าย BRT Shizugawa Station ได้โดยตรงเช่นกัน
เวลาเปิด-ปิด : 9:00 น.- 17:00 น.
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> https://www.m-kankou.jp/english/project/minamisanriku-sun-sun-shopping-village/
ใครที่มายัง Minamisanriku คงจะได้เห็นภาพของโมอาย (Moai) รูปปั้นหินแกะสลักที่ปรากฏเป็นรูปปั้นหรือแม้แต่ไปปรากฏภาพอยู่ในของที่ระลึกต่างๆ ของเมือง Minamisanriku
แล้วเมือง Minamisanriku เกี่ยวข้องอะไรกับโมอาย?
โมอาย (Moai) เป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพระหว่างชาวเมือง Minamisanriku และประเทศชิลี เนื่องจากในปีค.ศ.1960 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศชิลีส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามีพัดข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกมาถึงเมือง Minamisanriku ทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ชาวเมือง Minamisanriku จึงได้ร้องขอรูปปั้นโมอายจากทางชิลีเพื่อเก็บไว้ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่แล้วเมื่อปี 2011 สึนามิได้พัดเข้าสู่เมือง Minamisanriku อีกครั้งทำให้รูปปั้นโมอายทั้งหมดได้รับความเสียหาย จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ชาวชิลีได้รับทราบข่าวที่เกิดขึ้นจึงได้ส่งรูปปั้นโมอายมาให้กับทางเมืองอีกครั้ง รูปปั้นโมอายแห่ง Minimisanriku จึงเปรียบเสมือนตัวแทนแห่งความทรงจำและมิตรภาพของชาวเมือง
โมอายสัญลักษณ์และมิตรภาพของชาวเมือง Minamisanriku และชาวชิลี
อย่างที่เล่าไปว่าชายทะเลแถบนี้เป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญของสาหร่ายวากาเมะ แวะตลาดเสร็จเราเลยหาโอกาสไปล่องเรือดูจุดที่ปลูกสาหร่ายวากาเมะกันดีกว่า
เรือที่ล่องก็เป็นเรือของชาวประมงในพื้นที่ ในท้องทะเลบริเวณนี้นอกเหนือจากปลูกสาหร่ายวากาเมะแล้วยังเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหอยนางรมอีกด้วย โดยจะสลับหมุนเวียนกันไปตามฤดูกาล
เรือประมงที่จะใช้ไปดูจุดที่ปลูกสาหร่ายกัน
ชาวบ้านอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มต้อนรับนักท่องเที่ยว
ทุ่นปลูกสาหร่ายวากาเมะ ลอยอยู่เต็มอ่าว
สาหร่ายวากาเมะสดๆ
ตัดขึ้นมาจะเป็นแบบนี้
ล่องเรือเสร็จก็ถึงเวลากลับเข้าสู่เมืองเซนได ระหว่างทางได้มีโอกาสแวะเยี่ยมชม Arahama Elementary School (โรงเรียนประถมศึกษาอะระฮะมะ) ซึ่งเป็นอีกสถานที่ที่ถูกคลื่นสึนามิบุกเข้าทำร้าย
ในวันเกิดเหตุโรงเรียนประถมศึกษาอะระฮะมะนี้สามารถช่วยเหลือเป็นที่หลบภัยให้กับเด็ก ครูและประชาชนกว่า 320 คน จนทีมกู้ภัยได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือนำออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัยทุกคน
ทุกวันนี้จึงได้มีการเปิดอาคารโรงเรียนให้ชมซากโครงสร้างของอาคารที่ได้รับความเสียหาย เพื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับสีนามิให้กับคนรุ่นต่อไป
Arahama Elementary School
ระดับน้ำท่วมจนถึงชั้น 2 ของอาคาร
ห้องเรียนในชั้น 1 ถูกน้ำท่วมจนมิด
บริเวณชั้น 2 ของอาคารเรียน สังเกตรอยคราบน้ำที่ยังคงอยู่บนตู้
ผ้าที่นักเรียนใช้จัดนิทรรศการก่อนเกิดเหตุสึนามิ ได้ถูกช่วยสร้างความอบอุ่นระหว่างรอรับความช่วยเหลือ
ดาดฟ้าอาคารจุดที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำเฮลิคอปเตอร์มารับผู้ประสบภัย
ภาพของคลื่นสึนามิที่พัดเข้าสู่สนามบินเซนไดคงเป็นภาพที่อยู่ในความทรงจำของหลายคน ในบริเวณไม่ห่างจากสนามบินเซนได ได้มีการสร้างอนุสรณ์สถาน Millennium Hope Hills เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับพัฒนาให้เป็นศูนย์เรียนรู้เกี่ยวกับสึนามิโดยความร่วมมือจากภาครัฐและประชาชนทั่วไป นอกจากสร้างเป็นอนุสรณ์แล้วยังมีการสร้างจุดหลบภัยสึนามิที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในภายภาคหน้า
วันนี้มิยางิได้ตื่นขึ้นจากฝันร้าย และก้าวเดินต่อไปข้างหน้าด้วยพลังใจที่เต็มเปี่ยม พร้อมเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนอีกครั้ง
ติดตามข่าวสารเรื่องการท่องเที่ยวในจังหวัดมิยางิ เพิ่มเติมได้ที่ >> https://bosaikanko.jp/
เรื่องแนะนำ :
– เที่ยวมิยางิ ตอนที่ 1 : เที่ยววัดพันปี ล่องอ่าว Matsushima
#เที่ยวมิยางิ #Tohoku