การไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นครั้งที่สองนั้นผมมองว่านอกจากจะเป็นการพาตัวเองหลุดออกจากกรอบของ “ความธรรมดาสามัญ” แบบที่ใครๆ ก็ทำกัน ยังจะเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้สัมผัสวัฒนธรรมหรือ “ความเป็นญี่ปุ่น” ที่แท้จริงด้วย เพราะแน่นอนว่าการไปในฐานะ “ผู้ท่องเที่ยว” เราจะเลือกเพียงสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่เอาเข้าจริงคนญี่ปุ่นเค้าก็ไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่เราชอบเสมอ
ปูมิ อดีตผู้บรรยายมวยปล้ำญี่ปุ่นในสมาคมชั้นนำ และปัจจุบันเป็นผู้จัดการของสมาคมมวยปล้ำ Gatoh Move Pro Wrestling ในความร่วมมือระหว่างไทย – ญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังสนใจในศิลปะวัฒนธรรมของญี่ปุ่น เช่นปรัชญาของมิยาโมโตะ มุซาชิ หรือกระทั่งไอดอลสาว AKB48 |
ประเด็นนี้ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ถือว่าเป็นประเด็นแรกๆ ที่ตัวเองเกิดสนใจขึ้นมา เพราะพอมีเวลามานั่งดูรูปเก่าๆ ก็พบว่าตัวเองนั้นมีรูปแบบการเที่ยวที่แตกต่างกันออกไปมากในการเดินทางแต่ละครั้ง ส่วนหนึ่งอาจเพราะความคุ้นเคยหรืออะไรก็แล้วแต่ อย่างไรก็ตามมันทำให้เรารู้สึกเสียดายว่า เออ การเที่ยวครั้งที่สอง (เป็นต้นไปเนี่ย) ให้อะไรกับเรามากกว่าคำว่า “การไปเที่ยว” อยู่มากเลยล่ะครับ
การไปเที่ยวครั้งที่สองนั้นผมมองว่านอกจากจะเป็นการพาตัวเองหลุดออกจากกรอบของ “ความธรรมดาสามัญ” แบบที่ใครๆ ก็ทำกัน ยังจะเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้สัมผัสวัฒนธรรมหรือ “ความเป็นญี่ปุ่น” ที่แท้จริงด้วย เพราะแน่นอนว่าการไปในฐานะ “ผู้ท่องเที่ยว” เราจะเลือกเพียงสิ่งที่ตัวเองชอบ
แต่เอาเข้าจริงคนญี่ปุ่นเค้าก็ไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่เราชอบเสมอ ดังนั้นเราต้องลองหาทางสัมผัสในสิ่งที่เป็นญี่ปุ่นจริงๆ บ้างครับ โดยวิธีการเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดก็คือการ “หลุดจากกรอบของคำว่านักท่องเที่ยว” นั่นเอง
ดังนั้นผมสรุปสิ่งที่เราควรจะทำหากมีโอกาสเอาไว้ดังนี้ครับ
1. ออกห่างจากรถไฟ
“รถไฟ” ยังคงเป็นทางเลือกที่สะดวกสบายที่สุดเสมอยามเมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่นครับ เพียงแต่ปัญหาของรถไฟทั่วโลก (อาจจะยกเว้นไทยที่นึง) คือ “การหลงลืมเรื่องระหว่างทาง” เพราะรถไฟนับวันยิ่งพยายามเพิ่มความเร็วกันมากขึ้น รถไฟจึงกลายเป็นเรื่อง “ระหว่างจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งโดยปริยาย”
ประเด็นนี้ในแง่ของการขนส่งมวลชนถือว่าโอเคครับ เพราะต้องคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยเป็นสำคัญ หรือสำหรับคนที่ไปเที่ยวครั้งแรก เรื่องความเร็วก็คงจะสำคัญเช่นกันเพราะจะได้เที่ยวตามที่ต้องการเยอะๆ แต่สำหรับผม ครั้งแรกนั้นเพียงพอแล้วครับ
เรื่องคือมีอยู่วันหนึ่งเพื่อนชาวญี่ปุ่นมาคุยให้ฟังว่า “ดอกซากุระตรงทางเดินจากหน้าบ้านไปซุยโดะบาชิสวยเนอะ” เราก็เลยแบบเกิดอาการมึนงงทันที เพราะที่ผ่านมาการเดินทางไปซุยโดะบาชิ ใช้เวลาโดยรถไฟเพียงไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น ผมเลยกลายเป็นคนที่มองความสะดวกสบายนำหน้าบริบทอื่นๆ ไปโดยทันที
อย่างไรก็ตามหลังจากได้ยินประโยคนั้นของเพื่อนแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจว่าจากนี้ หากเป็นระยะทางที่เราพอเดินได้ (ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง) ก็จะตัดสินใจเดินเอาแทนครับ
อาศัยว่าออกจากบ้านเร็วหน่อย (ในฐานะคนที่ไปเที่ยวอาจจะยากหน่อยในการหาจักรยาน ดังนั้นใช้วิธีเดินแล้วกันนะครับ) ระหว่างทางนั้นผมได้เจออะไรดีๆ มากมาย เช่นการจูงหมาออกมาเดิน, เจอร้านอาหารที่ยังไงก็คงหาไม่เจอทางไกด์บุ๊ค, เจอคุณลุงคุณป้าช่วยกันบอกทาง กลายเป็นมิตรภาพ ฯลฯ
นี่คือสิ่งที่เราจะหาไม่ได้แน่นอนจากการเดินทางโดยรถไฟในเวลาสิบนาที ผมจึงถือว่า “การเดิน” เป็นอีกมิติที่สำคัญของการสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นครับ
2. เป็นมนุษย์กินด่วน
การเป็นมนุษย์กินด่วนถือเป็นความเร้าใจอย่างหนึ่งในการอยู่ญี่ปุ่นครับ กล่าวคือ “มนุษย์กินด่วน” หมายถึงผู้ที่ใช้เวลาห้านาทีเพื่อยัดอาหารลงกระเพาะโดยไม่ไขว้เขวไปสนใจอย่างอื่นอย่างเด็ดขาด
มนุษย์ประเภทนี้จะพบได้ในชั่วโมงเร่งด่วน อย่างเช่นช่วงพักกลางวัน หรือช่วงงานกิจกรรมอะไรบางอย่างที่มีคนจำนวนมากมาอยู่ในละแวกเล็กๆ อย่างร้านที่ผมไปประจำคือ “โยชิโนะยะ” ที่สถานที่อิจิกายะครับ ช่วงนึงมันจะคนล้นร้านมาก (ช่วงชมซากุระคนเยอะที่สุด บางคนมานอนริมถนนเลยเพราะเลียบแม่น้ำจากสถานีเป็นแนวยาวไปจะเป็นดอกซากุระทั้งหมด)
ตอนนั้นล่ะครับ ที่ร้านอาหารจะไม่มีเก้าอี้ แต่จะเป็นโต๊ะสูงๆ แล้วทุกคนจะ “ยืน” เท่านั้นจ้าาาา ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก จะมีคนต่อคิวอยู่หน้าร้านอย่างเป็นระเบียบ
คือคนนึงออก อีกคนจะเสียบเข้าไปทันที บรรยากาศคึกคักมากครับ อารมณ์เหมือนใครหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหรือเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวจะถูกประณามทันทีว่าทำไมไม่รีบกินวะ ? เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ต้องลองครับ
ปล.1 ปัจจุบันร้านเป็นโต๊ะปกติแล้ว (แบบบาร์) ดังนั้นถ้าจะลองต้องหาข้อมูลไปร้านอื่นนะฮะ
ปล.2 กิจกรรมนี้จะได้อารมณ์มากขึ้นหากคุณรอกลับรถไฟสาย Yamanote ในชั่วโมงเร่งด่วน
3. เล่นดนตรี
เรียกได้ว่าเฉพาะคนที่เล่นดนตรีเป็นเท่านั้นนะครับ อันนี้ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี คือตำรวจอาจจะไม่ชอบเท่าไรนัก แต่ก็เห็นการทำกันจนเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องอยู่ในกรอบของมารยาท และถ้ามีคนบอกให้หยุด คือหยุด อย่าไปต่อล้อต่อเถียง หรือเอาง่ายๆ หาละแวกที่มีคนเล่นเปิดหมวกบ่อยๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นชิบูยะ, อิเคะบุคุโระ อะไรเทือกนั้น
ข้อดีของเรื่องนี้อย่างแรกเลยคือได้เงินแน่นอนอาจจะมากหรือน้อยก็แล้วแต่สถานการณ์ แต่นอกเหนือจากเรื่องเงินแล้ว ความรู้สึกตอนไปญี่ปุ่นแล้วมีคนมามุงดูสิ่งที่เราทำก็ไม่เลวนะครับ
เผลอๆ โชคดีอาจจะได้ไปร่วมเล่นในไลฟ์เฮ้าส์สร้างชื่อให้ตัวเองได้อีก (ถึงจะยากแต่ไม่ลองก็ไม่รู้นะครับ)
สรุปแล้วผมคิดว่าการเที่ยวญี่ปุ่นนั้น ปล่อยให้ครั้งแรกเป็นครั้งเดียวที่เราเดินตามไกด์ไลน์ดีกว่าครับ หรืออย่างมากก็คือจนกว่าเราจะไม่เจอที่ใหม่ๆ ที่อยากไป การเดินทางไปที่เดิมๆ เรามีวิธีการไปหามันแตกต่างกัน อย่างเช่น การทำโจทย์เลขให้ได้ผลลัพธ์เหมือนกันก็อาจมีวิธีที่แตกต่างกัน จะยุ่งยาก จะง่ายดาย หรืออย่างไรก็แล้วแต่ มันทำให้การท่องเที่ยวสนุกขึ้นและได้ความรู้อะไรใหม่ๆ อีกมากมายแน่นอนครับ
ญี่ปุ่นยังมีอะไรรอให้เราค้นหาอีกเยอะ และบางทีมันก็อาจอยู่ระหว่างทางที่เราเคยนั่งรถผ่านไปทุกๆ วัน ดังนั้นหากมีโอกาสลองทำกันดูนะครับ ^^
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าหรือทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– 20 ชาเขียวและชานมที่น่าสนใจในร้านสะดวกซื้อญี่ปุ่น
– เที่ยวโตเกียว : Namiyoke Jinja ศาลเจ้าแห่งตลาดปลาทสึคิจิ
– ของฝากจากญี่ปุ่นที่…ไม่ควรซื้อ
– กรูรูกุมมะพาเก็บแอปเปิ้ลถึงไร่ “อะเบะริงโก เอ็น”
– 10 ออนเซ็นในญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวชอบไปกัน