นั่งเครื่องบินจีนไปญี่ปุ่น…คงเคยได้ยินคำถามแนวๆ “สายการบินจีนน่ากลัวรึเปล่า?” อยู่บ่อยๆ ดังนั้นด้วยความที่ไปผ่านประสบการณ์มาด้วยตนเอง ผมเลยอยากจะมาแชร์ข้อมูลรวมถึงเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่จะเดินทางไปญี่ปุ่น
ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาผมมีภารกิจต้องไปทำที่กรุงโตเกียวครับ แต่ด้วยงบประมาณที่ค่อนข้างจำกัด (มาก) ทำให้ไม่สามารถเลือกสายการบินที่ใช้งานเป็นประจำอย่างการบินไทยได้ เพราะราคาขึ้นไปสูงเหลือเกิน
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมต้องหันมามองสายการบินที่ราคาถูกที่สุดเท่าที่จะเป็นไป ได้ และก็ไปสะดุดเข้ากับสายการบิน Air China ที่ผมได้มาในราคา 14,000 กว่าบาท (ขออภัยที่จำราคาแน่นอนไม่ได้นะครับ แต่อยู่ราวๆ นี้ไม่ถึงหมื่นห้าแน่นอน)
แต่แทนที่ผมจะดีใจ ผมกลับเกิดคำถามในใจว่า “สายการบินจีนจะไหวเหรอ…” ซึ่งผมคิดว่าหลายๆ คนก็คงคิดเหมือนกันว่ามันจะต้องอันตราย วัดได้จากกระทู้ตามเว็บบอร์ดดังๆ ขณะที่ผมกำลังหาข้อมูล ก็เห็นคำถามแนวๆ “สายการบินจีนน่ากลัวรึเปล่า?” อยู่บ่อยๆ
ดังนั้นด้วยความที่ไปผ่านประสบการณ์มาด้วยตนเอง ผมเลยอยากจะมาแชร์ข้อมูลรวมถึงเกร็ดเล็กๆ น้อย เผื่อจะเป็นประโยชน์และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่จะเดินทางไปญี่ปุ่น ครับ (อนึ่ง : เนื่องจากเมโมรี่การ์ดบางส่วนของผมมีปัญหาทำให้ภาพหายไปเกือบทั้งหมด ผมขอนำภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ท และจะให้เครดิทเจ้าของภาพแทนนะครับ)
สายการบินที่ผมเลือกไปคือ AIR CHINA อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้น โดยเคาน์เตอร์เช็คอินจะตั้งอยู่ที่แถว U ครับ และในส่วนนี้ผมขอแนะนำเลยว่าให้เราไปรอก่อน GATE เปิดตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะทุกคนคงจะรู้พิษสงของ “ทัวร์จีน” เป็นอย่างดี คือการแซงคิวเกิดขึ้นอย่างที่ท่านก็ไม่สามารถคาดคิดได้
นอกจากนี้ระหว่างรอเราก็จะต้องเจอเสียงช้งเช้งสไตล์คนจีนอยู่ตลอดเวลา สำหรับบางท่านที่ไม่คิดมากก็ดีไป แต่บางคนที่ชอบความสงบ อาจจะเกิดอาการหงุดหงิดได้ ดังนั้นเราเริ่มด้วยการช่วยตัวเองดีกว่าครับ ไปก่อนเวลาเยอะๆ ให้ได้เป็นคิวแรกจะดีที่สุด
และจากที่ผมอ่านรีวิวก็พบว่าคนจีนหลายๆ ท่านมีเสียงที่ดังและบางท่านก็มารยาทไม่ดี อย่างเช่นการถ่มน้ำลายบนเครื่อง หรือถ่ายภาพเปิดแฟลชกันโดยไม่สนใจท่านอื่น
ผมคิดว่าถ้าจะให้เขาแก้คงจะยากครับ ดังนั้นเราหาวิธีเลี่ยงโดยการเดินทางในไฟล์ทที่เวลาดีๆ ง่ายกว่า โดยไฟล์ทที่ผมแนะนำก็คือไฟล์ทที่ผมไปเนี่ยแหละ ออกจากสนามบินเวลาตี 1 และถึงปักกิ่งช่วง 6 โมง 30 นาที
อันนี้ถือว่าเรา WIN 2 เด้งเลย คืออย่างแรก เราหลีกเลี่ยงความไม่สะดวกสบายจากชาวจีน และอย่างที่สองคือ เราได้หลับเลย และพอตื่นมาปุ๊บก็ถึงจีนแล้ว (แนะนำเลยครับว่าคืนก่อนหน้าเราพยายามอดนอนให้ได้มากที่สุด เพื่อจะไปหลับบนเครื่องบิน
มันจะได้อารมณ์เหมือนไปญี่ปุ่นด้วยระยะเวลาที่สั้นมาก จากจีนไปญี่ปุ่นแค่ 3 ชั่วโมงกว่าๆ เอง)
ด้านบนนี้คือภาพบนเครื่องบินครับ คือ AIR CHINA จะไม่มีจอทีวีส่วนตัวให้ ก็ดูๆ กันไปตามแต่เขาจะเปิดให้ดูล่ะครับ
วันที่ผมไปเป็นภาพยนตร์ดราม่าจีนเรื่องหนึ่งที่มี subtitle อังกฤษให้ ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าจะเปิดทำไม เพราะขนาดผมดูโดยไม่ตั้งใจก็ทะลึ่งร้องไห้อินตามไปด้วย (คือถึงโตเกียวทั้งน้ำตา)
ในส่วนของที่นั่งจากไทยไปจีน ถือว่าโอเคเลยครับ ใหญ่และนั่งสบายสำหรับคนตัวสูงอย่างผม (ผมสูง 186 ซม.) เพียงแต่เราอย่าไปคาดหวังมากว่ามันจะดีเหมือนสายการบินแพงๆ ถ้าเราเปิดใจรับข้อนี้ได้ ผมว่ามันก็น่าพอใจมากนะครับ …
อ้อ ! อีกอย่างนึงอันนี้ไม่เข้าใจเป็นการส่วนตัวนะครับ คือสายการบินเขาจะซีเรียสเรื่องการเปิดโทรศัพท์มากๆ คือผมเอาซิมออกต่อหน้าคุณแอร์เลย เพื่อบอกว่า “เฮ้ยย นี่ฉันเอามาดูซีรีย์แก้เบื่อบนเครื่องจริงๆ นะเธอ” แต่เขาก็ไม่สนใจครับ จะให้ปิดอย่างเดียว
ซึ่งคำสั่งนี้ผมสามารถรับได้ หากไม่เห็นชาวจีนรอบข้างเล่น iPad กันกว่า 80% บางส่วนถึงกับเอา notebook มานั่งเล่นด้วยซ้ำ (ใต้เบาะทุกเบาะมีปลั๊กให้บริการนะครับ) อันนี้เผื่อใครไปจะได้มีข้อมูลไว้ก่อนครับ
แต่สิ่งที่แย่จริงๆ ก็คือ “อาหาร” บนเครื่องครับ โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่กินอาหารง่ายถึงง่ายมาก กินได้หมดทุกอย่าง แต่ที่เห็นนี่เราไม่สามารถให้คำจำกัดความได้จริงๆ
คือในเมนูเขาจำกัดความว่า “ข้าวหน้าไก่ทอด” แต่จากที่เห็นมันคือแป้งทอดรสไก่ครับ (คืออาจจะมีวิญญาณไก่อยู่ก็เป็นได้) รสชาติถือว่าไม่ได้แย่ เพียงแต่เราทำใจคิดว่าแป้งสีแดงๆ คือไก่ทอดไม่ได้จริงๆ แต่ขนมปังในภาพด้านบนถือว่าโอเคนะครับ ไม่ได้แข็งอย่างที่หลายๆ รีวิวเขียนเอาไว้
ส่วนของหวานที่เป็นผลไม้เชื่อม ผมทานไม่ได้จริงๆ ครับ หวานจนถึงหูเลย หวานมว๊ากกกกกก สรุปว่า “กินไม่อิ่มครับ”
เหนือสิ่งอื่นใดคือพี่แอร์โฮสเตส จะดุไปไหนนนนนนนน!??? กล่าวคือหากเราขอน้ำหลายๆรอบ แกจะมาแนวเหวี่ยงๆทันที หรือถ้าแกเดินเลยเราไปแล้ว เราอยากได้อะไรเพิ่มเติม แกจะมาบ่นๆ ใส่เราเป็นภาษาจีนแล้วเทน้ำให้อย่างน่ากลัว
หลังจากนั้นเราเลยขออะไรทีเดียวให้ครบๆ ไปเลย ตัดปัญหา แต่บางคนก็น่ารักมากนะครับ เหมือนเวลาเห็นเพื่อนเหวี่ยง แกก็จะมาหาเรื่องคุย แล้วก็ยิ้มๆ ให้ แกพูดประมาณว่า ทีหลังเรียกฉันก็ได้นะคะ ก็เป็นอีกหนึ่งความประทับใจเช่นกันครับ
สำหรับการเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินปักกิ่งนั้น ให้เรามองหาสถานที่ในภาพข้างบนไว้ครับ คือเคาน์เตอร์มันจะอยู่ใกล้ๆ กัน (ประเด็นคือผมหาภาพไม่เจอครับ ขออภัย)
ผมแนะนำเช่นกันว่าเราควรจะรีบไปให้เร็วที่สุด เพราะเวลามันมีค่อนข้างจำกัด และแถวที่กำลังต่อคิวกันนั้น “โคตรมั่ว” และ “ยาวมากกก” เราควรจะไปให้ได้คิวแรกๆ เลยครับ แต่ถ้าเกิดเราดันไปช้าจริงๆ จนคนเยอะมาก และเกรงว่าจะไปขึ้นเครื่องไม่ทัน
ทางสต๊าฟสนามบินบอกว่าเราสามารถไปต่อแถวเพื่อยื่น transfer ที่เคาน์เตอร์สำหรับการอาศัยอยู่ในจีนไม่เกิน 72 ชั่วโมงได้เลย (อยู่ติดกัน) แจ้งสาเหตุกับเขาไป เขาจะให้ผ่านครับ (แต่ถ้าบางคนเนียนๆ แถวไม่ยาว เขาก็จะไล่กลับมาต่อแถวนะครับ)
อีกอย่าง Transfer ที่นี่จะตรวจกระเป๋าเราอีกครั้งนะครับ ดังนั้นหากเราซื้อของที่เป็นน้ำมาจาก Duty Free ในสุวรรณภูมิ เราก็จะโดนโยนทิ้งที่สนามบินทันทีครับ
(คือ… ขอเล่าว่าตอนระหว่างต่อคิวตรวจกระเป๋า ผมยืนต่อหลังคนจีนครับ แกไปซื้อน้ำอะไรสักอย่างมาไม่ทราบเหมือนกัน บรรจุไว้ในขวด แล้วเหมือนแกไม่ยอมทิ้งขวด แกเลยเปิดฝาเทน้ำทิ้งมันตรงพื้นด่านตรวจกระเป๋านั่นแหละ คือตกใจมาก แต่แกก็ผ่านเกทไปได้โดยถูกต่อว่านิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้โดนกักตัวหรืออะไรเลย)
เกทของสนามบินจีน “ไกลมาก” ครับ คือถ้าเรามีเวลาเปลี่ยนเครื่องไม่นาน เราก็ต้องรีบวิ่งกันเลยทีเดียว และตรงส่วนของการรอนั้น ห้องน้ำสะอาดมากนะครับ มันเป็นชักโครกแบบที่ถ้าเราลุกขึ้นมาแล้วมันจะกดน้ำให้อัตโนมัติ ซึ่งถือว่าแก้ปัญหาการ “ขี้ไม่ราด” ของประชาชนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ดังนั้นไม่ต้องกังวลนะครับ นอกจากนี้ตรงเก้าอี้ก็จะมีปลั๊กไว้บริการ โดยมีเต้าเสียบทุกรูปแบบ (คืออย่างญี่ปุ่นก็จะไม่มีรูกลมๆใช่ไหมครับ แต่ที่นี่มีหมดเลย อย่างน้อยก็ได้ชาร์จเพิ่มอีกหน่อย ไว้แอบแอร์โฮสเตสเล่นบนเครื่อง)
สำหรับเครื่องที่เดินทางจากปักกิ่งไปโตเกียว เป็นเครื่องที่มีขนาดเล็กครับ นั่งอาจจะลำบากนิดหนึ่ง
แต่สิ่งที่ดีคือคนเดินทางส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่น ซึ่งมารยาทแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ สุภาพและเงียบสงบมาก นอนๆ กินๆ ดูทีวีไปสักพักหนึ่ง ก็เดินทางถึงนาริตะโดยสวัสดิภาพแล้วล่ะครับ
โดยสรุปผมขอบอกว่า “ถ้าเกิด AIR CHINA ราคาต่างจากพวกการบินไทยแค่สองสามพัน เราไปการบินไทยดีกว่าครับ แต่ถ้าห่างกันหลายพันมากๆ สายการบินเหล่านี้ ก็เป็นทางเลือกที่ไม่ได้แย่เลย” (ช่วงเดือนเมษา A380 ของการบินไทยเหลือ 18,000 เองครับ ไม่รวมถึงพวก low cost อื่นๆ ที่จะมาเป็นทางเลือกให้กับนักเดินทางด้วย)
ผมให้คะแนน 6.5/10 ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเราหาทางแก้ไขได้ (อย่างเช่น อาหารไม่อร่อย เราก็หาพวกขนมไปกินบนเครื่องแล้วเอาน้ำของสายการบินแทน เป็นต้น) และผมคิดว่าจะเอาสายการบินนี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกอย่างแน่นอนครับ
ใครมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามอะไรเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ทวิตเตอร์ @pumi!!!!!!!!!! ได้ตลอดเวลาครับ ตอบทุกท่านแน่นอครับ^^
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– อุปกรณ์ต้านลมหนาวของชาวญี่ปุ่น
– โรงแรมในญี่ปุ่น… เอาใจสาวก “Gundam” และ “ DokiDoki! Precure”
– เที่ยวฟุคุชิมะ : รีวิวเรียวกัง @Fukushima
– เที่ยวเซนได รอบปฐมฤกษ์ : ตอนที่ 2 น้ำลายสอที่อิวาเตะ
– เที่ยวเซนได รอบปฐมฤกษ์ : ตอนที่ 1 ควันออกปากที่เซนได