วันนี้จะพาไปชมทุ่งหญ้าซูซูกิ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดดอกหญ้า (秋の七草) แห่งฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่โซนิโคเก็ง (曽爾高原) จ.นารา
หลังจากวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ที่ญี่ปุ่นถือว่าเข้าสู่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีกันอย่างเป็นทางการ เราจะค่อยๆ เห็นใบไม้แต่งแต้มสีไล่จากทางเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นนั่นคือภูมิภาคฮอกไกโด ไล่ลงไปถึงทางใต้คือเกาะโอกินาว่า ถ้าสังเกตดีๆ จะตรงข้ามกับการบานของซากุระที่ไล่จากใต้ขึ้นเหนือ
วันนี้จะพาไปชมทุ่งหญ้าซูซูกิ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดดอกหญ้า (秋の七草) แห่งฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่โซนิโคเก็ง (曽爾高原) จ.นารา ที่ราบสูงที่มีหญ้าซูซุกิปกคลุมแทบทั้งเขา ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่คนญี่ปุ่นนิยมไปเดินเล่นกันช่วงนี้
ประเภทของการเดินเขา
เนื่องจากภูมิประเทศของญี่ปุ่นเป็นเกาะและมีเนินเขามากมาย ทำให้หนึ่งในกิจกรรมที่คนญี่ปุ่นนิยมทำกัน คือ การเดินเขา หรือภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ยามะอะรุกิ (山歩き) จะถูกแบ่งแยกย่อยออกเป็น 3 ชนิดหลักๆ นั่นคือการเดินไฮกิ้ง การเดินเทรกกิ้ง และการปีนเขา
ซึ่งการเดินไฮกิ้ง จะเป็นการเดินที่ง่ายที่สุด โดยจะเดินเส้นทางที่มีทางและป้ายชัดเจน เป็นที่ราบสูงก็ได้ไม่ถึงกับต้องเป็นภูเขา โดยจะใช้เวลาประมาณ 2-8 ชม.ในการเดินทางไปและกลับ ต่างจากการเดินเทรกกิ้งซึ่งเป็นการเดินป่าที่ใช้ระยะเวลาในการเดินทางที่นานกว่าไฮกิ้ง เพราะเราจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 วันในการเดินทาง จึงมีการตั้งแคมป์หรือพักตามกระท่อมที่อยู่ระหว่างทาง ส่วนปีนเขา หรือเมาท์เทนนิ่ง มีความยากและท้าทายมากถึงมากที่สุด นอกจากจะต้องใช้ระยะเวลาหลายวันแล้ว ยังต้องใช้ทักษะหลายอย่างในการพิชิตยอดเขาที่สูงมากกว่า 5,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
การเตรียมตัว
สำหรับที่ราบสูงโซนิโคเก็นแห่งนี้ ทำทางเดินและขั้นบันไดไว้อย่างเป็นระเบียบ เดินง่าย จึงไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าสำหรับการเดินเขาโดยเฉพาะก็ได้ สำหรับการแต่งตัวหากไม่ได้คิดจะขึ้นไปบริเวณยอดเขา สามารถใส่กระโปรงและรองเท้าคัทชูมาเดินเล่นบริเวณด้านล่างของที่ราบสูงนี้ ที่เป็นบ่อน้ำและมีพื้นที่ให้มานั่งปิกนิค และเดินชมดอกไม้ใบหญ้าตามธรรมชาติ ส่วนท่านที่ตั้งใจจะมาเดินไฮกิ้ง ขอแนะนำให้ใส่กางเกงและรองเท้าผ้าใบเพื่อความสะดวกในการเดิน
การเดินทาง
เราซื้อตั๋วแพ็คเกจไป-กลับ ที่รวมตั๋วรถไฟ รถบัส บัตรลดราคาสำหรับซื้อของฝาก และแช่ออนเซ็น โดยเลือกโปรแกรมที่ออกเดินทางจากสถานีนัมบะ จ.โอซาก้า เพียงจ่ายแค่ 3,040 เยน หลังจากที่ซื้อเสร็จแล้วเรารีบกระโดดขึ้นรถไฟรอบ 08:12 น. เพื่อให้ไปถึงที่สถานี Nabari ตอน 09:23 น. และขึ้นรถบัสรอบแรกคือ 09:35 น. เนื่องจากรถบัสมีแค่วันละ 2 รอบเท่านั้น หากมีอะไรผิดพลาด เราสามารถนั่งรถบัสเที่ยวที่สองได้
ทุ่งดอกหญ้าซูซูกิ
เมื่อเราลงจากรถบัสตอนแรกก็แอบงงนิดหนึ่งว่าเดินไปทางไหนดี จึงเดินตามคนที่ขึ้นรถบัสมาด้วยกัน ระหว่างทางเราจะเดินผ่านป่าสนที่สวยและสงบมากๆ จากนั้นอีกไม่นานเราก็เดินมาถึงปากทางเข้าที่ราบสูงโซนิโคเก็นที่เราจะมาไฮกิ้งกันในวันนี้เป็นที่เรียบร้อย ข้างทางขนาบไปด้วยทุ่งดอกซูซุกิตัวก้านยังเป็นสีเขียวให้ความรู้สึกที่สดชื่น แต่หากมาช่วงปลายเดือนตุลาคม กิ่งก้านจะเริ่มแห้งทำให้สัมผัสบรรยากาศแห่งฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่นไปอีกแบบหนึ่ง ต้นหญ้าจะไม่ได้สูงและอยู่ใกล้ชิดกันมากเหมือนทุ่งที่คนไทยนิยมไปถ่ายรูปกันที่เกาหลี
มองต่างมุม
หลังจากที่เราเดินไปสักพักก็พบบ่อน้ำและลานกว้างที่ให้ผู้มาเยือนสามารถมานั่งปิกนิก เด็กๆ วิ่งเล่นกันได้ เราเดินเล่นอยู่สักพักจากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปโดยที่ระหว่างเดินก็หันลงมอง วิวที่เดียวกัน แต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปตามความสูงที่เราขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนกับเรื่องราวในชีวิตที่บางครั้งอยู่ใกล้เกินไปอาจมองไม่เห็นสิ่งรอบข้างอื่นๆ ในทางกลับกันยิ่งสูงขึ้นไปก็ยิ่งมองเห็นสิ่งต่างๆ เป็นวงกว้างขึ้น
ขณะที่เราเดินจนเกือบจะถึงยอดเนิน มีกลุ่มเด็กๆ มาคอยส่งเสียงเชียร์ว่า “กัมบัตเตะเนะ” (สู้ๆ) ทำให้ใครหลายคนที่เริ่มหายใจทางปาก จากการขึ้นบันไดมาหลายสิบขั้นกลับอมยิ้มให้กับความน่ารักและความสดใสของเด็กๆ
เราถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึกพอหอมปากหอมคอแล้ว กำลังขายังไหวอยู่จึงตัดสินใจจะเดินไปอีกสักระยะ แล้วค่อยไปทานมื้อกลางวัน
มีจุดหนึ่งในเส้นทางที่อาจจะเป็นไฮไลท์สำหรับใครที่อยากลองโรยตัวลงมาจากโขดหินโดยใช้โซ่ที่ล่ามไว้กับก้อนหินด้านบน ระหว่างที่โรยตัวเราจะต้องมีสติว่าต่อไปเราจะนำขาไปเกี่ยวไว้กับหินก้อนไหนดี ถือเป็นการฝึกทักษะการปีนเขาแบบง่ายๆ หลังจากที่ลงมาถึงพื้นดินแล้วจะหันไปถ่ายรูปผู้ร่วมทริปก็ถึงกับอ้าปากค้าง เพราะเขาเดินลงมาจากอีกทางหนึ่งที่ง่ายกว่ามาก จุดนี้ทำให้นึกถึงปรัชญาอีกหนึ่งข้อว่า จุดหมายปลายทางเดียวกันบางคนก็มีทางลัด บางคนก็ต้องอ้อม แต่สุดท้ายแล้วก็ถึงจุดเดียวกัน ถึงชีวิตจะต้องพบเจอกับอุปสรรค์บ้าง แต่นั่นถือเป็นบทเรียนในชีวิต ที่จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นและรอบคอบมากกว่าเดิมในภายภาคหน้า
อาหารกลางวันท่ามกลางธรรมชาติ
หลังจากที่เราเก็บตัวอยู่บ้านกันมาหลายเดือน การที่ได้เปลี่ยนบรรยากาศมาทานอาหารกลางวันร่วมกับคนอื่นท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้ ถือเป็นการผ่อนคลายอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะคนสมัยนี้นิยมเดินแต่ห้าง ทำให้เด็กๆห่างใกล้จากธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย เพราะการมาเดินไฮกิ้งแบบนี้ นอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว ที่บางครั้งไม่อาจพบเจอในตำราเรียน
สำหรับท่านที่สนใจอยากมาเดินไฮกิ้งที่โซนิโคเก็นแห่งนี้ เราใช้เวลาเดินไป-กลับประมาณ 2 ชม. แต่หากรวมถ่ายรูปและทานอาหารกลางวันด้วย ใช้เวลาไปทั้งหมดเกือบ 4 ชม. ซึ่งพอดีกับรอบรถบัสเที่ยวสุดท้ายคือ 15:27 น. จากนั้นเราก็เดินทางกลับเส้นทางเดิมที่มาเมื่อเช้า
หมายเหตุ รถบัสที่เราใช้บริการจะมีเฉพาะช่วง 1 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน ที่ดอกหญ้าซูซูกิกำลังสวยเท่านั้น หากมาเดินช่วงอื่น แนะนำให้ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ค่ะ http://www.soni-kogen.com
สุดท้ายนี้ขอบคุณรูปสวยๆ จากคุณบิ๊ก สามารถชมภาพสวยๆ ได้ที่อินสตาแกรม bearcat.k
เรื่องแนะนำ :
– on-cafe จุดเปลี่ยนของมุมมอง
– สถานีริมทางอนุสรณ์สึนามิกับต้นสนปาฏิหาริย์ Michi no Eki Takata Matsubara
– รีสอร์ทก้อนเมฆ Hoshino Resorts TOMAMU
– Hotel Shojuen โรงแรมตำนานกุมารทองญี่ปุ่น
– สาเกที่อยากให้ผู้ดื่มมีความสุขที่สุด
#ไฮกิ้งชมดอกหญ้าซูซูกิ ต้อนรับฤดูใหม่ ณ โซนิโคเก็ง จ.นารา