ปีนฟูจิ..หลังจากวอร์มเครื่องกันมาแล้วในช่วงที่หนึ่งจากสถานีที่ 5 ถึงสถานีที่ 6 ตอนนี้เราก็จะเดินทางต่อไปในช่วงที่สอง ภูเขาไฟฟูจิ..จากสถานีที่ 6 สู่สถานีที่ 7 เพื่อไปเช็คอินเข้าสู่ที่พักบนภูเขาไฟฟูจิกัน
สนับสนุนโดย :
หลายคนอาจคิดว่าภูเขาไฟฟูจิ ก็ไม่ได้เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในโลกและไม่ได้เป็นที่นิยมในหมู่นักปีนเขามืออาชีพเท่าไรนัก รวมทั้งคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ จำนวนไม่น้อย ไม่ว่าเด็ก คนหนุ่มสาว หรือผู้สูงวัย ก็สามารถเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขาฟูจิในช่วงฤดูร้อนของแต่ละปีได้ จึงไม่คาดคิดว่าการเดินเท้าเพื่อขึ้นสู่ยอดเขาฟูจินั้น มันก็มีความลำบากยากเย็นเช่นกัน
หลังจากวอร์มเครื่องกันมาแล้วในช่วงที่หนึ่งจากสถานีที่ 5 ถึงสถานีที่ 6 ตอนนี้เราก็จะเดินทางต่อไปในช่วงที่สอง ภูเขาไฟฟูจิ..จากสถานีที่ 6 สู่สถานีที่ 7 เพื่อไปเช็คอินเข้าสู่ที่พักบนภูเขาไฟฟูจิกัน

สำหรับในช่วงที่สองนั้น จะยากหรือง่ายก็ขึ้นอยู่กับว่าเราวอร์มอัพในช่วงที่หนึ่งมาอย่างถูกต้องหรือเปล่าด้วย หากเราเดินช้าๆ พักบ่อยๆ เพื่อให้ร่างกายคุ้นชินกับความสูงที่ซึ่งมีอากาศเบาบาง แต่ก็ไม่พักนานเกินไปจนร่างกายเย็น
ช่วงที่สองนี้ก็จะไม่ลำบากลำบนขึ้นสักเท่าไร เพียงแต่ระยะทางมันจะไกลขึ้นจากระยะที่หนึ่งเท่านั้นเอง โดยจะเดินกันในช่วงนี้อีกประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง
ระหว่างเดินก็อย่าไปสนใจเรื่องเวลาให้มากนัก ว่าเดินไปแล้วกี่ชั่วโมง หรือเหลืออีกกี่ชั่วโมง เอาเป็นว่าพยายามไปให้ถึงก่อนแสงหมดก็พอ (ถ้าแสงหมดก็ไม่เป็นไร เราต้องพกไฟฉายกันอยู่แล้วนี่นา) เพราะการไปสนใจเรื่องเวลาหรือนาทีมากจนเกินไป จะยิ่งเพิ่มดีกรีความเหนื่อย (ใจ) ในการเดินทาง

ในช่วงที่สองนี้เราจะเริ่มใช้คาถาเดินขึ้นภูเขาไฟฟูจิกัน หวังว่าคงจำคาถาที่ฝากไปซ้อมท่องไว้เมื่อคราวที่แล้วได้ ก้าวสั้นๆ และหายใจ… ก้าวสั้นๆ และหายใจ… ก้าวสั้นๆ และหายใจ… ซึ่งก็เป็นคาถาที่ไม่น่าจะเข้าใจยาก แต่ที่ต้องท่องกันเอาไว้ เพราะระหว่างที่เราเดินไป เรามักจะฟุ้งซ่าน คิดโน่น นี่ นั่น กันไปเรื่อย ไม่ก็ดูวิวทิวทัศน์กันจนเพลิน และลืมไปว่า เราต้องทำอะไร
ขอบอกว่า.. คุณจะลืมมันจริงๆ และถ้าคุณลืมคาถาสำคัญนี้ มันจะทำให้คุณป่วย คุณจะไม่สามารถไปถึงยอดเขาฟูจิได้ และคุณก็จำต้องเดินย้อนกลับลงมาอย่างทรมานเลยทีเดียว

จากนี้จึงต้องปฏิบัติตามคาถานี้อย่างเคร่งครัด คือเดินก้าวสั้นๆ หาจุดหรือบริเวณที่เราจะสามารถเดินขึ้นไปได้โดยการก้าวเท้าเพียงสั้นๆ (แต่ไม่ออกนอกเส้นทางที่เขาทำไว้นะ) แม้บางจุดจำเป็นต้องก้าวยาวๆ หรือยกขาปีนสูงๆ บ้าง ก็เพราะเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
แต่ถ้าเลี่ยงได้ จงเลี่ยงเถิด แล้วถ้ามีคนอื่นเดินกระฉับกระเฉงก้าวยาวๆ แซงเราไปอย่างรวดเร็ว ก็ปล่อยเขา ไม่ต้องไปทำตามเขา เราไม่รีบ..

คาถานี้เหมาะกับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย รวมถึงผู้ที่ร่างกายไม่ค่อยจะฟิตสักเท่าไรด้วย และสามารถซ้อมใช้คาถานี้ได้ตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจากสถานีที่ 5 แต่ในช่วงสถานีที่ 6 ถึงยอดเขาฟูจินั้นจำเป็นต้องใช้คาถานี้เป็นที่สุด
ส่วนการหายใจอาจจะฟังดูตลก เพราะเราทุกคนก็ต้องหายใจกันอยู่แล้ว แต่ในที่นี้หมายถึงการหายใจลึกๆเพราะสำหรับคนที่ไม่ชินกับการเดินอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ เราจะหายใจถี่ขึ้น สำหรับในที่ซึ่งมีความสูงมาก อากาศบางเบา ถ้าคุณหายใจถี่ๆ ปากคุณจะเริ่มแห้ง คอคุณจะเริ่มแสบ ปอดคุณจะเริ่มเจ็บ และคุณก็จะเริ่มหน้ามืด ตาลาย คลื่นไส้ และอยากอาเจียน เอ่อ.. คือ.. เจอมาครบเลยเหมือนกัน แล้วแอบไม่ยอมบอกไกด์ด้วย กลัวเจอคำสั่งให้เดินกลับ ฮะ ฮะ
ก็คิดว่าร่างกายเราน่าจะยังไหว แต่คุณไกด์ก็คงสังเกตเห็นหน้าซีดๆ ของเรา จึงย้ำคาถานี้ขึ้นมา ไม่ถึงห้านาที หายเป็นปลิดทิ้ง สุดยอด! การเดินทางช่วงที่เหลือก็เลยเดินไป ท่องไป อ้อ! แล้วก็ทำด้วยนะ “ก้าวสั้นๆ หายใจลึกๆ” วิวทิวทัศน์ดูสวยขึ้นเป็นกอง
ทางที่ดีจึงอยากให้เพื่อนๆ ปฏิบัติตามคาถานี้ป้องกันไว้ก่อน เพราะถ้าเกิดอาการหนักๆ แล้ว คาถาก็ไม่ช่วยอะไร

เอาละ..ถ้าเข้าใจเรื่องการก้าวเท้ากับการหายใจแล้ว การเดินขึ้นสู่ยอดเขาฟูจิก็จะง่ายขึ้นเป็นกอง โอกาสเดินไปสู่จุดหมายก็มีสูงขึ้นตามไปด้วย
สำหรับเส้นทางตั้งแต่สถานีที่ 6 เป็นต้นมานั้น จะเป็นเส้นทางที่หลากหลาย มีทางดินและบันไดก้อนหินเสียเป็นส่วนใหญ่ เป็นทางเดินขึ้นเพียงอย่างเดียว และเป็นทางสลับฟันปลา คือคุณต้องเดินขึ้นไปทางซ้าย แล้วก็เดินขึ้นไปทางขวาสลับกันไปมาอย่างนี้โดยตลอด ซึ่งเรายังคงต้องพักเป็นช่วงๆ 3 – 5 นาที เพื่อให้ร่างกายเราคุ้นชินกับความสูง
หากเจอเพื่อนร่วมทางก็แวะทักทาย กล่าวสวัสดีกันบ้าง ก็เป็นการผ่อนคลายไปอีกแบบ ถ้าฟ้าเปิด.. ช่วงนี้คุณจะได้เห็นทะเลสาบที่อยู่รอบภูเขาไฟฟูจิ ไม่ว่าจะเป็นคาวากูชิโกะ (Kawaguchi-ko) หรือยามานากะโกะ (Yamanaka-ko) ได้อย่างชัดเจน
และท้องฟ้ายามเย็นบนฟูจิก็มีเสน่ห์ ทั้งทะเลเมฆสีขาว และเงาของภูเขาไฟฟูจิที่ทอดยาวไปบนปุยเมฆซึ่งจะสามารถมองเห็นได้จากบนภูเขาไฟฟูจิเท่านั้น ขอย้ำว่า..ถ้าอากาศเปิด ท้องฟ้าแจ่มใส ทิวทัศน์ของการเดินทางในช่วงนี้ จะ “งาม” มากๆ



เมื่อมาถึงสถานีที่ 7 ก็จะเริ่มมีที่พักบนภูเขา (Fuji Mountain Hut) ให้นักเดินทางได้แวะพัก ซื้อน้ำ ซื้อขนม หรือของใช้ที่จำเป็น
สำหรับผู้ที่จองมาล่วงหน้าก็สามารถเช็คอินเพื่อพักผ่อนกันได้เลย แต่ถ้าใครไม่ได้จองมาตั้งแต่แรก ก็มีราคาให้พักเป็นรายชั่วโมงด้วย เท่าที่สังเกตถ้าเราไม่ได้จองมาก่อนที่พักบนภูเขาไฟฟูจิส่วนใหญ่จะคิดค่าบริการชั่วโมงละ 1,000 เยน

สำหรับ Mountain Hut ที่เราเลือกใช้บริการในครั้งนี้ชื่อว่า Torii เป็นที่พักบนภูเขาไฟฟูจิแห่งสุดท้ายในช่วงสถานีที่ 7 พอถัดจาก Torii แล้วก็จะเป็นสถานีที่ 8 ซึ่งหมายความว่าหลังจากที่ก้าวแรกของเราสัมผัสสถานีที่ 7 แล้ว เรายังต้องเดินขึ้นไปอีกไกล เกือบถึงสถานีที่ 8 นั่นแหล่ะ (T_T)
ที่พักบนภูเขาไฟฟูจินั้น จะมีรถเล็กๆ ขนเสบียงและข้าวของขึ้นมา ซึ่งบางครั้งเราก็อาจจะได้มีโอกาสเห็นรถขนเสบียงกำลังไต่ขึ้นลงภูเขาด้วย
และเพราะการเดินทางที่ยากลำบาก ข้าวของและอาหารที่จำหน่ายบนฟูจิจึงมีราคาสูงกว่าพื้นราบ สินค้าบางอย่างยิ่งสูงขึ้นไป ก็จะยิ่งมีราคาแพงขึ้นตามไปด้วย อย่างเช่น ออกซิเจนกระป๋องที่สถานีที่ 7 บางแห่งขาย 1,300 เยน แต่พอขึ้นไปสถานีที่ 8 บางแห่งก็ขาย 1,500 เยน (พอไปถึงสถานีที่ 8 เห็นคนซื้อกันหลายคนเชียว)

และที่สังเกตเห็นอีกอย่างก็คือ ที่พักบนภูเขา รวมทั้งอาคารประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ หรือศาลเจ้าเล็กๆ ก็จะมีก้อนหินวางอยู่บนหลังคาจำนวนมาก
ไม่ต้องเดาให้ยากเย็นก็พอจะรู้ว่า ที่นี่.. ลมแรง ต้องเอาหินทับไว้เพื่อกันหลังคาปลิวไปนั่นเอง โชคดีที่วันที่เราไปนั้น อากาศดี๊ดี ลมก็ไม่แรง ฝนก็ไม่ตก อากาศก็ไม่หนาว สงสัยเพราะขอพรเทพเจ้าแห่งภูเขาไฟฟูจิก่อนจะเริ่มปีนขึ้นมา
มีแต่คนบอกว่าเราโชคดีสุดๆ รวมถึงเพื่อนๆ คนญี่ปุ่นด้วย ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะถามใครๆ ที่เคยไป ก็ต้องเคยเจออากาศแปรปรวนตลอด แต่เราไม่เจอเลย.. (^-^)

นักเดินทางหลายคนเลือกที่จะจองที่พักบนภูเขาไฟฟูจิไว้ล่วงหน้า และอีกจำนวนมากที่ไม่สนใจจะจองไว้ก่อน ซึ่งก็เป็นทางเลือกตามความเหมาะสมของแต่ละคน
บางคนเลือกที่จะพักสบายหน่อยใน Mountain Hut เพื่อรอเวลาที่จะเดินทางขึ้นไปในจังหวะที่พระอาทิตย์ขึ้นบนยอดฟูจิพอดี บางคนก็เลือกที่จะเดินไปเรื่อยๆ ชนิดเหนื่อยที่ไหนก็พักเป็นรายชั่วโมงที่นั่น หรือบางคนก็เลือกที่จะพักเหนื่อยไปเป็นช่วงๆ ตามรายทางไปเรื่อยๆ โดยไม่พึ่งที่พักบนภูเขาเลย ใครเหมาะแบบไหนก็เลือกได้ตามอัธยาศัย
แต่ขอเตือนไว้เพียงประเด็นเดียวว่า ถ้าอากาศเลวร้าย ฝนตก พายุเข้า หากไม่ได้จองที่พักบนฟูจิไว้ แล้วอยากจะไปขอหลบฝน เอ่อ.. มันไม่ง่ายนะ ของฟรีไม่ได้หาง่ายๆ และอยากจะจ่ายเป็นรายชั่วโมง ที่พักก็อาจจะเต็ม เป็นคำเตือนที่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละคน



(ที่พักบนภูเขาไฟฟูจิเกือบทุกแห่งจะมีบริการนี้ บางแห่งก็ใช้ตราประทับที่ต้องลนกับเตาถ่านแบบโบราณ บางแห่งก็ใช้แบบตราประทับไฟฟ้า ซึ่งโดยทั่วไปจะเก็บค่าบริการแห่งละ 200 เยน แต่ตราประทับบนยอดเขาฟูจิหรือสถานีที่ 10 จะมีราคา 300 เยน และตราประทับบนยอดเขาฟูจินั้นไม่ได้ลนไฟ แต่จะเป็นหมึกทีทำด้วยหินบนภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นสีแดงอมส้มหรือสีน้ำตาลแดง เมื่อประทับแล้วต้องปล่อยให้แห้งสักพักนึง อย่าเพิ่งไปสัมผัส ไม่อย่างนั้น หมึกจะเลือนไม่สวยงาม)
สำหรับการเข้าพักใน Mountain Hut นั้นก็มีเรื่องที่ต้องทราบกันพอสมควร อย่างแรกจะต้องถอดรองเท้าใส่ถุงที่เขาเตรียมไว้ให้ ถ้าจะเดินออกไปห้องน้ำ หรือออกไปนอกอาคารก็ใส่รองเท้าแตะที่เขาเตรียมไว้ให้แทน
สำหรับท่านที่มีไม้เท้ายาวมาด้วย (ที่เอาไว้ประทับตรา เก็บเป็นที่ระลึกน่ะ) ก็ให้ทำสัญลักษณ์หรือเขียนชื่อไว้ที่ไม้เท้าให้เรียบร้อย ก่อนที่จะฝากเขาให้เก็บไว้ให้ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นมันจะถูกโยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี เพราะเขาไม่รู้ว่าเป็นของใครนั่นเอง
แล้วตอนจะเริ่มออกเดินทางอีกครั้งก็อย่าลืมเอาเจ้าไม้เท้านี่ไปด้วยล่ะ

ในช่วงหัวค่ำ.. เมื่อเราไปถึงที่พัก ก็จะเป็นเวลาที่ลูกค้าทุกคนมาทานอาหารค่ำด้วยกัน ผู้ที่จองมาล่วงหน้าแล้วส่วนใหญ่มักจะจองแบบ Full-course คือจ่ายเต็มราคาประมาณ 9,000 เยน รวมที่พัก อาหารค่ำ อาหารกล่องตอนเช้า และสามารถเข้าห้องน้ำได้ฟรีกี่ครั้งก็ได้ตามต้องการ
สำหรับอาหารบนภูเขาก็มักจะเสิร์ฟด้วยของร้อนๆ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นแต่ได้พลังงาน อย่างเช่น ข้าวราดแกงกะหรี่ หรือพวกโซบะ/อุด้ง แต่อาหารกล่องตอนเช้าก็จะแห้งๆ หน่อย เวลายัดใส่เป้เพื่อเดินทางต่อ จะได้ไม่หกกระมัง..

หลังอาหารค่ำ เราก็จะมุดเข้าสู่ที่นอนมุมใครมุมมันและนำกระเป๋ากับรองเท้าของเราไปด้วย ลืมเรื่องการอาบน้ำไปได้เลย โดยเจ้าหน้าที่จะพาเราไปยังที่นอนของแต่ละคนซึ่งก็นอนรวมๆ กันนั่นแหล่ะ มีพื้นที่ส่วนตัวให้เพียงพอจะพลิกตัวได้ ชายหญิงนอนรวมกัน จึงต้องรักษาพื้นที่ความเป็นส่วนตัวกันเอาเอง
ซึ่งที่พักบนภูเขาแต่ละแห่ง แม้จะดูภายนอกเล็กๆ แต่ก็สามารถรองรับนักเดินทางได้ครั้งละมากถึงกว่า 200 คน เมื่อถึงเวลานอน… ก็จงพยายามนอนให้หลับ ทางที่พักจะเป็นผู้ปลุกเราเองในเวลาที่เหมาะสม หรือเมื่อถึงเวลาที่นักเดินทางชุดต่อไปมาถึง เราก็จะถูกปลุกอย่างไม่เต็มใจ เพราะคนอื่นเขาก็ต้องการที่พักเช่นเดียวกัน
ในครั้งนี้เรานอนตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง และถูกปลุกตอนห้าทุ่มครึ่ง โอ้เอ้.. ล้างหน้าล้างตากันนิดหน่อย ก็ออกเดินทางต่อตอนเที่ยงคืน



คาถา “ก้าวสั้นๆ และหายใจลึกๆ” ที่ใช้กันมาในช่วงนี้ จะเป็นคาถาที่มีความสำคัญ “มาก” ในช่วงต่อไป ซึ่งเป็นเส้นทางช่วงสุดท้ายอันสุดแสนจะลำบากในการปีนขึ้นสู่ยอดเขาฟูจิ (แต่อย่าลืมล่ะว่าเรายังมีเส้นทางขาลงนะ..ซึ่งจะมีคาถาใหม่อีกหนึ่งบท หึ หึ)
โปรดอย่าคิดว่า.. สิ่งที่ย้ำเตือนอยู่บ่อยๆ นี้ เป็นเรื่องจู้จี้จุกจิกเลยนะ เพราะที่ย้ำอยู่เสมอก็เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเองทั้งสิ้น

แล้วพบกันครั้งต่อไปกับการเดินทางเพื่อชมความงามของพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าจากบนยอดภูเขาไฟฟูจิ เสน่ห์และความงดงามที่มีมนต์ขลังดึงดูดนักเดินทางจากทุกมุมโลก..
= ปีนฟูจิ (ตอนที่ 5 เส้นทางขาลงจากภูเขาไฟฟูจิ) =
= ปีนฟูจิ (ตอนที่ 4 พระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาฟูจิ) =
= ปีนฟูจิ (ตอนที่ 2 มือใหม่หัดปีนภูเขาไฟฟูจิ) =
= ปีนฟูจิ (ตอนที่ 1 การเตรียมตัวขึ้นสู่ยอดเขาฟูจิ) =
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– ปีนฟูจิ (ตอนที่ 2 มือใหม่หัดปีนภูเขาไฟฟูจิ)
– Asakusa Samba Carnival
– Tokushima ประตูสู่เกาะชิโกกุ
– เปิดโปงการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น (ตอนหลัง)
– ปีนฟูจิ (ตอนที่ 1 การเตรียมตัวขึ้นสู่ยอดเขาฟูจิ)
สนับสนุนโดย :