ทริปตะลุยฮอกไกโด 6 วัน เก็บครบทุกที่เที่ยวห้ามพลาด
ฮอกไกโดแดนอัศจรรย์แห่งญี่ปุ่น หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวอยากไปเยือนสักครั้งในชีวิต เกาะฮอกไกโดเป็นดินแดนเหนือสุดของญี่ปุ่น และยังเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ที่แห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เที่ยวกี่รอบก็ไม่พอ เที่ยวกี่วันก็ไม่หมด แต่ในทริปนี้เราขอคัดสถานที่สวยๆ แลนด์มาร์กสำคัญๆ ที่ไม่ควรพลาด สำหรับคนที่มีเวลา 5-6 วัน ก็สามารถสัมผัสฮอกไกโดแดนอัศจรรย์ได้เต็มอิ่มแน่นอน พร้อมแล้วไปลุยกันเลย
วันที่ 1 เที่ยวเมืองอาซาฮิคาวะ
นั่งรถไฟจากซัปโปโร ลงที่สถานี JR Asahikawa ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง จากสถานี ขึ้นรถบัส Dohoku Bus ลงที่ป้าย Takasagodai Iriguchi เดินต่อ 8 นาที ก็จะมาถึง Snow Crystal Museum พิพิธภัณฑ์หิมะที่สวยงามมากๆ เหมือนอยู่ในปราสาทหิมะ ให้เดินชมผลึกน้ำแข็งและผลึกหิมะรูปทรงต่างๆ สวยงามระยิบระยับ แนะนำให้มาที่นี่ก่อน เพราะเปิดถึงแค่บ่าย 3 โมง
จุดหมายต่อไป สวนสัตว์อาซาฮิยามะ จากสถานี JR Asahikawa ขึ้นรถบัส City Tour Fun Fun Bus เป็นรถบัสพาเที่ยวรอบเมือง มาลงที่ป้าย Asahiyama Zoo ได้เลย ที่นี่ถือเป็นหนึ่งในสวนสัตว์ยอดฮิตในญี่ปุ่น มีการออกแบบพื้นที่อย่างดี ทำให้เราได้เห็นมุมมองในโลกของสัตว์ที่แปลกใหม่ ต่างจากสวนสัตว์ทั่วไป อย่างเพนกวินที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ ก็ดูเหมือนกำลังบินอยู่บนฟ้า มีสัตว์ที่หาดูได้ยากอย่างหมีขั้วโลก แพนด้าแดง และถ้ามาช่วงฤดูหนาว ห้ามพลาดโชว์สุดพิเศษ “เพนกวินพาเหรด”
ปิดท้ายวันด้วยของอร่อยเติมพลัง ขึ้นรถ Fun Fun Bus มาลงที่หน้าหมู่บ้านราเมน (Asahikawa Ramen Village) ถ้ามาอาซาฮิคาวะ แล้วไม่ได้ลองราเมน ถือว่าเสียเที่ยวมากๆ ที่หมู่บ้านแห่งนี้มีร้านราเมนชื่อดังมารวมตัวกันถึง 8 ร้าน แต่ละร้านก็มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป และยังมีศาลเจ้า Ramen Village Shrine ให้คู่รักแวะขอพรอีกด้วย
วันที่ 2 เที่ยวออนเซ็นโซอุนเคียว
ออกเดินทางจากเมืองอาซาฮิคาวะ สู่โซอุนเคียว หมู่บ้านออนเซ็นกลางหุบเขา ที่เมืองคามิคาวะ โดยนั่งรถบัส Dohoku Bus ที่หน้าสถานี JR Asahikawa ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง ลงที่สถานีรถบัส Sounkyo Bus Terminal จากสถานีรถบัส เดินเพียง 2 นาที ไป Kamikawa Ice Pavilion พิพิธภัณฑ์หิมะและน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เต็มไปด้วยประติมากรรมน้ำแข็งรูปร่างต่างๆ อุโมงค์น้ำแข็ง ที่คล้ายถ้ำหินงอกหินย้อย ห้องจำลองความหนาว -41 องศา และชม “คลีโอเนะ” ผีเสื้อทะเล สัตว์สุดแปลกที่อาศัยอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง ช่วง ม.ค. – มี.ค. จะมีการจัดเทศกาลด้านนอกด้วย
จาก Sounkyo Bus Terminal ยังสามารถเดินเพียง 4 นาที ไปยัง Kurodake Ropeway กระเช้าที่พาเราขึ้นไปถึงยอดเขาคุโรดาเกะ ที่ความสูงประมาณ 1,500 เมตรจากพื้นดิน เห็นวิวหุบเขาที่สวยงามแตกต่างกันไปในแต่ละฤดู
และไฮไลท์เด็ดของที่นี่ก็คือ การแช่ออนเซ็น แหล่งน้ำพุร้อนมากกว่า 20 แห่ง ถอดตัวอยู่กลางหุบเขา ที่นี่จึงขึ้นชื่อว่าเป็นออนเซ็นที่มีวิวธรรมชาติสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีที่พักออนเซ็นให้เลือกมากมาย อยู่ไม่ห่างจากสถานีรถบัส
วันที่ 3 เที่ยวเมืองบิเอะ เมืองฟุราโนะ
ขึ้นรถบัสที่โซอุนเคียวมาลงที่ สถานี JR Kamikawa แล้วนั่งรถไฟไปเมืองบิเอะ ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง ลงที่สถานี JR Biei รอบๆ สถานีมีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของกระจุ๊กกระจิ๊ก บรรยากาศน่ารักมินิมอล ที่หน้าสถานีรถไฟมีป้ายรถบัส Dohoku Bus ที่สามารถนั่งไปเที่ยว Blue Pond บ่อน้ำที่มีสีฟ้าสดใส ตัดกับสีต้นไม้ที่เปลี่ยนไปในแต่ละฤดู เดินทาง 20 นาที ลงที่ป้าย Shirogane Aoiike Iriguchi
นอกจากนี้ จากสถานี JR Biei ยังสามารถเช่ารถขับ หรือเช่าจักรยานปั่นไปบนเส้นทาง Patchwork Road ที่มีวิวธรรมชาติไกลสุดลูกหูลูกตาตลอดสองข้างทาง และชมวิวต้นไม้มินิมอลที่โด่งดัง อย่าง Ken & Marry Tree ต้นไม้ที่อยู่ในฉากของโฆษณายุค 1970 “Nissan Skyline”, Seven Stars Tree ต้นไม้ที่อยู่บนซองบุหรี่ยี่ห้อ Seven Stars, Parents And Child Tree ต้นโอ๊คสองต้นใหญ่ที่ขนาบต้นเล็กไว้ตรงกลางเหมือนพ่อแม่ลูก และ Mild Seven Hill ต้นสนเรียงแถวยาวบนเนิน ฉากหนึ่งของโฆษณาบุหรี่ยี่ห้อ Mild Seven จากสถานีรถไฟไปยังจุดชมต้นไม้ใช้เวลาปั่นจักรยาน 15 นาที และต้นไม้แต่ละแห่งอยู่ห่างกันราว 15 นาที การเที่ยวบนเส้นทาง Patchwork Road จึงใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง แต่ถ้าใครอยากปั่นชิลๆ แวะถ่ายรูป แวะกินระหว่างทาง ก็เผื่อเวลาไปเยอะหน่อย
ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ แวะเที่ยวเมืองฟุราโนะ จาก JR Biei นั่งรถไฟราว 1 ชั่วโมง ลงที่สถานี JR Furano ที่เที่ยวแนะนำ คือ หมู่บ้าน Ningle Terrace ที่มีบรรยากาศสวยงามอบอุ่นในตอนค่ำ มีร้านขายของน่ารักๆ งานคราฟต์ ของแฮนด์เมด ร้านต่างๆ เรียงรายดูเหมือนกระท่อมไม้กลางป่า โดยเดินทางจาก JR Furano นั่งรถบัส Lavender Go ใช้เวลา 20 นาที ลงที่ป้าย New Furano Prince Hotel
วันที่ 4 เที่ยวซัปโปโร
จากสถานี JR Furano นั่งรถไฟกลับเข้าตัวเมืองซัปโปโร ใช้เวลาราว 2-3 ชั่วโมง ซัปโปโรมีสถานที่เที่ยวมากมาย หนึ่งในสถานที่ยอดฮิตที่ของนักท่องเที่ยว คือ ศาลเจ้าฮอกไกโด จาก JR Sapporo นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน 30 นาที มาลงที่สถานี Maruyama Koen เดินต่ออีก 15 นาที ที่นี่เป็นศาลเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นในยุคเมจิ เพื่อให้เทพเจ้าปกป้องคุ้มครองฮอกไกโดให้สงบสุข
นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินต่อไปยังสถานี Miyanosawa แล้วเดินต่อ 10 นาที ก็จะมาถึงโรงงานช็อกโกแลตชื่อดัง Shiroi Koibito Park สามารถทัวร์เดินชมโรงงาน ดูวิธีทำช็อกโกแลตทุกขั้นตอน ไปจนถึงลงมือทำช็อกโกแลตด้วยตัวเอง
ฟ้าเริ่มมืด แวะมานั่งชิลจิบเบียร์ซัปโปโร โดยนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินลงที่สถานี Higashi Kuyakusho Mae หรือนั่งรถไฟลงสถานี JR Naebo เดินต่อ 10 นาที จะถึงพิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโร (Sapporo Beer Museum) อดีตที่นี่เคยเป็นโรงงานน้ำตาล ก่อนจะกลายเป็นโรงผลิตมอลต์สำหรับทำเบียร์ และกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ในที่สุด ตัวอาคารเป็นอิฐสีแดงที่สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคเมจิ นอกจากชมประวัติของเบียร์ในญี่ปุ่น และชมขั้นตอนการผลิตเบียร์ ที่นี่ยังมี Sapporo Beer Garden ให้นั่งทานเนื้อเจงกิสข่าน ปู ซูชิ พร้อมจิบเบียร์สดรสนุ่ม และในฤดูหนาว ยังสามารถชมบรรยากาศการประดับตกแต่งไฟสวยงาม ที่มีอาคารอิฐสีแดงเป็นฉากหลัง
วันที่ 5 เที่ยวโอตารุ
จาก JR Sapporo นั่งรถไฟไปเมืองโอตารุ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ลงที่สถานี JR Otaru ถ้าจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี ให้ลงที่สถานี Minami-Otaru แล้วเดินต่อ 5 นาที Otaru Music Box Museum เป็นแหล่งผลิตกล่องดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ภายในอาคารอิฐสไตล์ยุโรปเก่าแก่ มีกล่องดนตรีอันไพเราะมากกว่า 25,000 ชิ้น ให้เดินชมและเลือกซื้อเป็นของฝากของที่ระลึก ชั้นบนมีโซนจัดแสดงประวัติความเป็นมาของกล่องดนตรี นอกจากนี้ ยังสามารถประดิษฐ์กล่องดนตรีในแบบของตัวเองได้ด้วย
พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีอยู่ติดกับถนน Sakaimachi Street ที่เต็มไปด้วยร้านของที่ระลึก ของใช้น่ารัก ร้านขนม และร้านอาหาร ที่น่าแวะไปหมดทุกร้าน โดยเฉพาะของฝากสุดฮิตอย่าง LeTAO สิ้นสุุดถนนสายนี้ ก็จะเจอกับคลองโอตารุ แลนด์มาร์กที่พลาดไม่ได้ อดีตเคยเป็นท่าเรือส่งสินค้า และได้มีการปรับปรุงพื้นที่จนสวยงาม กลายเป็นสถานที่เที่ยว คนนิยมมากันในยามเย็น เพื่อชมบรรยากาศโรแมนติกของคลองที่สะท้อนแสงโคมไฟระยิบระยับ
วันที่ 6 เที่ยวซัปโปโร
จาก JR Sapporo นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ลงที่สถานี Odori เดิน 4 นาที มายังตลาดปลานิโจ รับประทานอาหารทะเลสดอย่างปู ไข่หอยเม่น หอยเชลล์ แซลมอน เป็นมื้อเช้าแบบฟินๆ แล้วเดินเลือกซื้ออาหารทะเลสด รวมถึงอาหารแปรรูปของสดจากทะเล ที่เหมาะซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน หลังจากอิ่มกันแล้ว เดินเที่ยวชมเมืองถ่ายรูปที่สวน Odori Park พื้นที่สีเขียวกลางเมือง ที่มีน้ำพุและงานประติมากรรมต่างๆ หรือขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงที่ Sapporo TV Tower ติดกับสวน Odori Park มีแหล่งช้อปปิ้งที่รวบรวมร้านเสื้อผ้า เครื่องสำอาง และของฝากไว้มากมาย ชื่อว่า Tanukikoji Shopping Street
ช่วงบ่ายต่อด้วยกิจกรรม Outdoor ที่อุทยานแห่งชาติทาคิโนะซูซุรันฮิลไซด์ (Takino Suzuran Hillside Park) เดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินจากสถานี Odori มาลงที่สถานี Makomanai ใช้เวลา 15 นาที แล้วต่อรถบัส 30 นาที ลงที่ป้าย Suzuran Koen Keiryukuchi ที่นี่เป็นสวนที่เหมือนจำลองธรรมชาติอันกว้างใหญ่มาไว้ด้วยกัน จะชมดอกไม้ ส่องนก ตกปลา เล่นน้ำตก หรือเล่นเครื่องเล่นก็มีหมด ส่วนฤดูหนาว สวนแห่งนี้จะกลายเป็นลานหิมะให้สนุกกับกิจกรรมได้หลากหลาย ทั้งเล่นสกี สโนบอร์ด ห่วงยางเลื่อนหิมะ กระดานเลื่อน และ Snowshoe
ช่วงพระอาทิตย์ตก ไปจนถึงยามค่ำคืน ห้ามพลาดที่จะมาเยือนจุดชมวิวยอดฮิตของซัปโปโร ที่ภูเขาโมอิวะ นั่งรถรางจากสถานี Odori ไปลงที่ป้าย Ropeway Iriguchi แล้วเดินประมาณ 10 นาที หรือนั่ง Moiwa Shuttle Bus จะมาถึง Moiwa Ropeway นั่งกระเช้า ต่อด้วยมินิเคเบิลคาร์ขึ้นไปบนยอดเขาที่ความสูง 531 เมตร จะเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามจนแทบลืมหายใจ บนยอดเขามีดาดฟ้าที่เป็นจุดชมวิวถ่ายรูป คล้องกุญแจ นอกจากนี้ ยังมีโรงหนังท้องฟ้าจำลองและร้านอาหารอีกด้วย
ทริปจบแต่ความประทับใจไม่จบแน่นอน ฮอกไกโดยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย แม้ฮอกไกโดจะขึ้นชื่อว่าเป็นแดนหิมะ นิยมไปเที่ยวกันในฤดูหนาว แต่สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งก็สามารถเที่ยวได้ทุกฤดูเลยนะ มีความสวยงามแตกต่างกันไป ไปเที่ยวแต่ละครั้งต่างฤดูก็จะได้ความประทับใจต่างกัน และหวังว่าทริป 6 วัน จะทำให้ทุกคนประทับใจไม่รู้ลืม และไม่จบแค่ทริปนี้ทริปเดียว
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– Hokkaido แดนอัศจรรย์ที่ต้องไปสักครั้งในชีวิต
– 8 กิจกรรมท้าหนาวรอบฮอกไกโด
#ทริปตะลุยฮอกไกโด 6 วัน เก็บครบทุกที่เที่ยวห้ามพลาด