คิดถึงญี่ปุ่นมากมาย… และพอสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ก็แอบดีใจที่ได้มีโอกาสไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโดทันในปี 2022 แถมยังได้ไปยังเส้นทางที่มีหลายสถานที่ที่ยังไม่เคยไป เป็นการไปเปิดโลกฮอกไกโดจุดใหม่ๆ ในฤดูกาลที่น่าตื่นตาตื่นใจทีเดียวล่ะ
คิดถึงญี่ปุ่นมากมาย… และพอสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ก็แอบดีใจที่ได้มีโอกาสไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโดทันในปี 2022 แถมยังได้ไปยังเส้นทางที่มีหลายสถานที่ที่ยังไม่เคยไป เป็นการไปเปิดโลกฮอกไกโดจุดใหม่ๆ ในฤดูกาลที่น่าตื่นตาตื่นใจทีเดียวล่ะ แล้วถ้ามาเส้นทางนี้ …ขับเที่ยวเองจะสะดวกขึ้น แถมจะได้เห็นที่สวยๆ หลายจุดด้วยนะ
อยากเล่าให้ฟังมากๆ แล้ว ว่าทริปนี้น่าสนใจยังไง มาติดตามให้ครบทั้ง 4 Ep. กันนะจ้ะ
ก่อนอื่น… ต้องบอกเลยว่าช่วงที่ญี่ปุ่นเพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวชาวไทยกลับไปเยือนญี่ปุ่นได้อีกครั้งโดยไม่ต้องทำวีซ่า เที่ยวบินเลยยังมีไม่มาก ความต้องการสูง แถมราคายังทะลุเพดาน แต่ก็ไม่น่าเป็นอุปสรรคกับผู้ที่มีแพสชั่นในการเที่ยวญี่ปุ่น แต่ว่า… เที่ยวบินตรงไปฮอกไกโด ยังไม่มีนะสิ ก็เลยทำให้เราต้องไปแวะต่อเครื่องกันที่สนามบินฮาเนดะก่อน แต่ตอนนี้เที่ยวบินตรงกลับมาเปิดให้บริการกันแล้ว จำนวนไฟล์ทเองก็เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ทำให้ราคาเริ่มถูกลงมาแล้วล่ะ
นั่งสายการบินญี่ปุ่น Japan Airlines ที่เชื่อถือได้ บริการดี นั่งสบาย งีบมาเบาๆ เพราะต้องเก็บแรงเพื่อต่อเครื่อง ก็เรามีเวลาต่อเครื่อง 1 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้นนี่ เตรียมตัว เตรียมใจเต็มที่ ลุ้นตัวโก่ง วิ่งขาขวิดบอกเลย ฮ่าาาาา แต่เราชอบนะ เราว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่ทำให้รู้ว่า ต่อเครื่องยังไง อะไรอยู่ตรงไหน ที่สำคัญ… ทันจ้า!! (ถ้าตกเครื่อง ก็คงไม่สนุกแล้วอ่ะเนอะ)
จากสนามบินสุวรรณภูมิตอนดึก นั่งเครื่องเกือบหกชั่วโมง มาถึงช่วงเช้า พอเป็น JAL เที่ยวบินจากไทย จะลงที่ Terminal 3 เราก็ลุ้นจุดตรวจคนเข้าเมืองที่ยาวเป็นหางว่าวไปจนแทบลืมไปแล้วว่าต้องต่อเครื่อง (พยายามทำใจร่มๆ จนลืมไปเลย ฮ่าๆ) ผ่านไป 45 นาที เพิ่งจะผ่านตม. มาได้
เหลืออีกไม่กี่นาทีจะได้เวลา Board ของเครื่องที่จะไปฮอกไกโดแล้ว รีบไปรับกระเป๋าแล้วไปจุด Bus Transfer ไป Terminal 1 ด่วนๆ เลยจ้า (ดีนะ ที่ลงทะเบียนเว็บไซต์ Visit Japan Website มาเรียบร้อยดี ไม่งั้นจะใช้เวลาอีกเท่าไรก็ยังไม่รู้ ที่แน่ๆ คงตกเครื่องจริงๆ) โชคดีว่ารถ Transfer มาเร็ว แถมจาก Terminal 3 ไป Terminal 1 ก็ใช้เวลาไม่นาน
พอดร๊อปกระเป๋าเสร็จ ก็ขอเจ้าหน้าที่แทรกคิวตรวจสัมภาระและสแกนร่างกายเข้าไปก่อนเลย เพราะแถวยาวยิ่งกว่าตม.ที่ Terminal 3 เมื่อกี้อี๊กกกก โชคดีอีกละ ที่พอผ่านเข้าไปปุ๊บ ก็ถึงเกทปั๊บ final call แล้วด้วย แต่ก็ไม่ไหวแล้วจริงๆ ขอแว๊บเข้าห้องน้ำหนึ่งกรุบ จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ เดินสวยๆ ขึ้นเครื่องไปก่อนผู้โดยสารคนสุดท้ายนิดนึง ฮะๆ
ถ้าเป็นไปได้ หากพอจะหาเที่ยวบินที่มีเวลาต่อเครื่องสัก 2 ชม. ก็จะดีกว่านี้นะ แบบที่เรามานี้… ใครที่ไม่คุ้นกับสถานที่ หรือเดินทางต่างประเทศไม่บ่อย อย่าหาทำนะ เสี่ยงไป ถ้าตกเครื่องแล้ว จะทำให้ทริปที่เราตั้งใจวางแผนมา ไม่สนุก… แต่ที่เราสนุก (1) เพราะเราชอบที่ได้เรียนรู้ และ (2) เราไม่ตกเครื่อง ไงล่ะ 😉 รู้สึกเหมือน… ผู้รอดชีวิตมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังเลย แต่ที่เล่ามายืดยาวเนี่ย เพราะอยากจะแนะนำว่า “อย่าหาทำ”
เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า…
UPOPOY National Museum and Park
พอมาถึงสนามบิน New Chitose บนเกาะฮอกไกโด จุดแรกที่เราไปเที่ยวกันก็คือ UPOPOY National Museum and Park (UPOPOY) หรือพิพิธภัณฑ์ไอนุเดิม ซึ่งเราเคยมาแล้ว แต่ว่า… ที่นี่มีการปรับโฉมใหม่ แล้วเสร็จในช่วงที่สถานการณ์โควิดเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นได้ไม่นาน เราจึงยังไม่มีโอกาสได้เห็นของใหม่เลย เอาจริงๆ ของใหม่… คือดีจริง!
ชาวไอนุ (Ainu) เป็นชนเผ่าพื้นเมืองของเกาะฮอกไกโด มีภาษาและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ในอดีต… จุดนี้ตั้งอยู่ริมทะเลสาบโปโระโตะ (Lake Poroto) เคยจัดแสดงเฉพาะแค่อาคารบ้านเรือนแบบดั้งเดิมของชาวไอนุ รู้จักกันในชื่อ “Shiraoi Kotan” และภายหลังถูกเรียกว่า “Porotokotan” หรือ Ainu Museum ซึ่งถือเป็นพิพิธภัณฑ์ของชาวไอนุที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมือง Shiraoi ที่อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน New Chitose เท่าไรนัก ก่อนที่จะปิดไปในวันที่ 31 มีนาคม 2018 เพื่อปรับโฉมใหม่ที่ได้ชื่อว่า “UPOPOY” และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 กรกฎาคม 2020
ภายใน UPOPOY นอกจากยังคงจัดแสดงพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหรือ Porotokotan ของดั้งเดิมไว้แล้ว ยังมีการส่งเสริมการเรียนด้านภาษาและศิลปวัฒนธรรมของชาวไอนุอีกด้วย โดยมีส่วนของอาคารพิพิธภัณฑ์ในร่มขนาดใหญ่ รวมทั้งโรงละครที่มีการจัดโชว์การแสดงเรื่องราวด้านวัฒนธรรมของชาวไอนุ (Cultural Exchange Hall) มีร้านอาหาร และร้านจำหน่ายสินค้า ของฝาก ของที่ระลึก ในสไตล์ของชาวไอนุอยู่ด้วย
พื้นที่โดยรวมของ UPOPOY จะเรียกว่า “The National Ainu Park” นอกจากส่วนของอาคารจัดแสดงหลัก คือ National Ainu Museum แล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินชมบรรยากาศและส่วนจัดแสดงอื่นๆ รอบๆ Park ที่ประกอบไปด้วย 8 ส่วนหลักๆ ได้อีกด้วย คือ…
1) Cultural Exchange Hall – โชว์เพลงและเต้นรำแบบดั้งเดิมของชาวไอนุ
2) Workshop – จุดจัดกิจกรรมกลุ่ม (โรงเรียน/กรุ๊ปทัวร์) อาทิ ทำอาหาร และเล่นเครื่องดนตรีของชาวไอนุ
3) Crafts Studio – จุดเรียนรู้งานศิลปหัตถกรรมของชาวไอนุ เช่น แกะสลักไม้ และการเย็บปักถักร้อย
4) Kotan – บ้านของชาวไอนุ
5) Path to the Ainu Spirit – ทางเดินที่แสดงถึงความผูกพันของชาวไอนุต่อป่าไม้และสัตว์ป่า
6) Gateway Square – จุดพักผ่อน ช้อปปิ้ง กินอาหารและเครื่องดื่ม
7) Entrance Center – จุดจำหน่ายตั๋ว ประชาสัมพันธ์ จุดพักผ่อน ร้านค้า ร้านอาหาร ฯลฯ
8) Chikisani Sqaure – จุดจัดแสดงกลางแจ้ง ริมทะเลสาบโปโระโตะ เพื่อโชว์การร้องเพลง เต้นรำ วัฒนธรรม สไตล์ไอนุ
UPOPOY National Museum and Park
ที่ตั้ง: 2-3-1 Wakakusa-cho, Shiraoi Town, Shiraoi District, Hokkaido 059-0902
เวลาทำการ: 09.00 – 17.00 น. (อาจมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละฤดูกาล) ปิดวันจันทร์และช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 1,200 เยน / เด็กม.ปลาย 600 เยน
การเดินทาง: จาก JR New Chitose Airport Station นั่งรถไฟ Limited Express มาที่สถานี JR Shiraoi ใช้เวลาประมาณ 40 นาที แล้วเดินออก North Exit มาประมาณ 500 เมตร (10 นาที) ก็จะถึง UPOPOY
MAPCODE: 545 194 852
เว็บไซต์: https://ainu-upopoy.jp/en/
Wakasaimo Honpo Noboribetsu Higashi Restaurant
จุดหมายต่อไปของเราคือเมือง Noboribetsu เมืองตากอากาศยอดนิยมแห่งหนึ่งบนเกาะฮอกไกโด ระหว่างทางเราก็แวะพักรับประทานอาหารกลางวันกันก่อนที่ร้านอาหาร Wakasaimo Honpo Noboribetsu Higashi ซึ่งมีขนมของฝากขึ้นชื่อ “Wakasaimo” เป็นไฮไลท์
สำหรับอาหารกลางวันที่นี้ เรากินเป็นเซ็ตแบบง่ายๆ …….
และด้วยความที่ Wakasaimo เขามีผลิตภัณฑ์ขนมที่เป็นของฝากดังประจำถิ่นอยู่ ของหวานในเซ็ตอาหารกลางวันของเรา… เราก็ได้ชิมเช่นกัน ซึ่ง Wakasaimo มีผลิตภัณฑ์ขนมหวานทำเป็นรูปทรงคล้ายมันหวาน (แต่ไม่ใส่มันหวาน) ทำด้วยเป็นแป้งย่างหอมๆ ห่อด้วยไส้ถั่วขาว มีกลิ่นไหม้ของโชยุและรสชาติที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นตำรับเฉพาะที่ทำมาแล้วกว่า 90 ปี (ตั้งแต่ปี 1930) แม้ปัจจุบันจะแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ออกมาอีกหลายอย่าง แถมยังมีร้านอีกหลายสาขา แต่ไฮไลท์ของ Wakasaimo ก็ยังคงเป็นตัวขนมหวานสูตรดั้งเดิมตัวนี้
ถ้าใครชอบของหวานที่ลงตัวกับการจิบชาเข้มๆ หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล … ก็ขอแนะนำ Wakasaimo เลยจ้า และที่จริง ก็มีอีกหลากหลายรสชาติ ถ้ากินกลางวันเสร็จแล้ว ติดอกติดใจ ก็ไปเลือกซื้อที่ส่วนจำหน่ายของฝากของที่ระลึกของทางร้านกันต่อได้
Wakasaimo Honpo Noboribetsu Higashi
ที่ตั้ง: 96-6 Nakanoboribetsucho, Noboribetsu-shi, Hokkaido
เวลาทำการ: 09.00 – 18.00 น.
การเดินทาง: เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว จะอยู่ใกล้กับทางลงทางด่วนฮอกไกโด Noboribetsu-Higashi มากที่สุด หรือนั่งรถบัส Donan Bus มาลงที่ป้าย Noboribetsu-Higashi Inter. (Interchange) เดินมาได้ ไม่ถึง 100 เมตร
MAPCODE: 603 171 445*78
เว็บไซต์: https://www.wakasaimo.com/en/
Mt. Usu (Ropeway & Terrace)
ภูเขาไฟอุซุ เป็นอุทยานทางธรณีวิทยาที่สำคัญแห่งหนึ่งของเกาะฮอกไกโด เคยมีการประทุใหญ่ๆ อยู่บ่อยครั้ง ล่าสุดคือในปี 2000 และจากการประทุแต่ละครั้งก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่แตกต่างกัน เช่น ใน 1910 ทำให้ค้นพบแหล่งน้ำพุร้อน Toyako Onsen ขึ้น ในปี 1977-1988 เป็นการประทุที่ใหญ่มาก เกิดเถ้าถ่านและควันพวยพุ่งสูงถึง 12,000 เมตร จนปากปล่องภูเขาไฟยกตัว แล้วเกิดเป็น “ภูเขาไฟอุซุใหม่” ขึ้นมา เป็นต้น
สถานีด้านบนภูเขา เมื่อขึ้น Ropeway มาก็จะพบกันคาเฟ่เก๋ๆ ร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับภูเขาไฟอุซุ และที่โดดเด่นที่สุดก็คือวิวสุดอลังการของภูเขาไฟโชวะชินซัง (Showashinsan) และทะเลสาบโทยะ (Toyako) ซึ่งจุดชมวิวบริเวณที่เรียกว่า “Mt. Usu Terrace” นี้ ออกแบบมาอย่างมีสไตล์ สามารถนั่งชมวิวไปจิบเครื่องดื่มไป ได้อย่างเพลิดเพลินสุดๆ เป็นจุดที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง และถ้าใครพอจะมีแรงเดินและเวลาสักหน่อย ก็สามารถเดินไปชมพื้นที่บริเวณปากปล่องภูเขาไฟแบบใกล้ๆ ได้อีกนิดด้วยนะ ซึ่งหากจะเดินชมด้านบนนี้ให้ทั่วๆ ก็ควรจะมีเวลาอย่างน้อย 40 – 60 นาที
ส่วนที่บริเวณสถานีโรปเวย์ด้านล่างนั้น มีทั้งลานจอดรถ ร้านอาหาร และร้านของฝาก ที่อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีทีเดียว
Mt. Usu Ropeway
ที่ตั้ง: 184-5 Showashinsan, Sobetsu-cho, Usu-gun, Hokkaido 052-0102
เวลาทำการ: 08.00 – 18.00 น. (อาจมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละฤดูกาล)
ค่าบริการ: ผู้ใหญ่ 1,800 เยน / เด็กประถม 900 เยน (ไป-กลับ)
การเดินทาง: นั่งรถบัส Donan Bus จากสถานี JR Toyako ที่มีปลายทางอยู่ที่ Toyako Onsen ประมาณ 15 นาที ลงสถานีปลายทาง แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถบัสที่มีปลายทางอยู่ที่ Showashinsan นั่งต่อไปอีกประมาณ 15 นาที ลงสถานีปลายทางเช่นเดียวกัน (ไม่มีบริการในช่วงฤดูหนาว อาจจะต้องมาโดยแท็กซี่แทน)
MAPCODE: 321 433 349*17
เว็บไซต์: https://usuzan.hokkaido.jp/th/
Toyako Manseikaku Hotel Lake Side Terrace (LAKE TOYA)
มาเที่ยวฮอกไกโดครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่เราได้พักในแหล่งแช่น้ำแร่ออนเซ็นสุดดังในแถบนี้นั้นคือที่บริเวณทะเลสาบโทยะ ซึ่งรอบทะเลสาบแห่งนี้มีที่พักดีๆ ให้เลือกมากมาย แล้วยังมีจุด Photo Spots หลากหลาย… ที่นี่มีบรรยากาศธรรมชาติงามๆ ในทุกฤดูกาลจริง ยามค่ำคืนก็จะมีพลุที่จุดขึ้นโดยเรือที่ล่องอยู่กลางน้ำให้ชมอยู่แทบทุกค่ำคืน ฤดูชมดอกซากุระและดอกบ้วยได้รับความนิยม และในช่วงหน้าหนาวก็ให้บรรยากาศที่โรแมนติกแบบสุดๆ ไปเลย ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งเมื่อมาเยือนเกาะฮอกไกโด
และที่พักที่เราใช้บริการกันในครั้งนี้ก็คือ Toyako Manseikaku Hotel Lake Side Terrace ที่ใหญ่โตอลังการ ถึงจะเปิดบริการมานานมากแล้ว แต่ได้รับการRenewal ให้ใหม่และดูดีทันสมัย มีการออกแบบตกแต่งสวยงามมากทีเดียว มีฟังก์ชั่นการใช้งานครบถ้วน ชอบความที่มีห้องสันทนาการ (ห้องสมุด+ห้องนั่งเล่น) อยู่ใกล้กับบริเวณที่เป็นคาเฟ่ ที่มีขนาดใหญ่ราวเป็นล็อบบี้หลักของโรงแรมเลยทีเดียว แถมจากจุดนี้ ยังสามารถมองเห็นวิวทะเลสาบได้ แบบที่จิบเครื่องดื่มไป ชมวิวไป หรือถ้าอยากจะชมวิวทะเลสาบแบบใกล้ชิดกว่านั้น ก็แค่เปิดประตูออกไป ซึ่งจะเจอกับบ่อแช่ออนเซ็นเท้าทันที แล้วเดินไม่กี่ก้าว ก็ถึงริมทะเลสาบ รับชมวิวทะเลสาบแบบพาโนราม่า กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
ส่วนของห้องพักนั้น ก็ไร้ที่ติ สะดวกสบาย กว้างขวาง มีให้เลือกทั้งห้อง ถ้าได้ห้องพักแบบ Lake View ก็จะได้ชมวิวทะเลสาบแบบสวยจนลืมไม่ลงเลยล่ะ ยิ่งตอนกลางคืน อากาศหนาวๆ … ก็สามารถนั่งชมพลุที่จุดขึ้นโดยเรือที่แล่นไปมากลางน้ำ (Lake Toyako Long Run Fireworks Display จัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน – ตุลาคม) ได้โดยที่เราไม่ต้องเดินลงไปชมพลุที่ริมทะเลสาบก็ได้ ดีมากๆ
ด้วยความที่โรงแรมนี้ตั้งอยู่ในบริเวณแหล่งน้ำพุร้อน (ออนเซ็น) แน่นอนว่า… ในเรื่องของห้องออนเซ็นนั้น จึงกว้างใหญ่ แล้วก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันไม่แพ้ที่ไหนๆ ที่สำคัญ วิวดีมาก! สามารถมาชมวิวทะเลสาบสวยๆ เห็นมุมกว้างๆ ได้ในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืน ก็ถือว่าเป็นจุดชมดอกไม้ไฟที่ชิลสุดๆ คือนอนแช่น้ำอุ่นๆ ไป ชมดอกไม้ไฟไป เป็นสุดยอดของการพักผ่อนทีเดียว แต่ถ้าใครไม่อยากชมวิวทะเลสาบ อยากแช่ออนเซ็นแบบได้วิวสวนญี่ปุ่นสวยๆ ได้กลิ่นไม้สนแบบคลาสสิค ที่นี่ก็มีให้บริการ กว้างใหญ่และสวยงามไม่แพ้ห้องออนเซ็นที่สามารถมองเห็นวิวทะเลสาบได้เลยล่ะ
และอีกหนึ่งความน่าประทับใจของโรงแรม Toyako Manseikaku Hotel Lake Side Terrace ที่เราขอชื่นชมก็คือห้องอาหารกว้างๆ สวยๆ และอาหารที่หลากหลาย (เป็นบุฟเฟ่ต์ทั้งมื้อเช้าและมื้อค่ำ) …ยิ่งมุมอาหารบริเวณที่จุดเป็นพิเศษให้สำหรับคุณหนูน้อย นอกจากเด็กๆ จะตักอาหารได้ง่ายแล้ว อาหารมุมนี้… พวกผู้ใหญ่ก็ควรลองชิมกันด้วยนะ อร่อยทีเดียวล่ะ เพียงแต่ว่า… ด้วยความที่โรงแรมนี้ใหญ่มาก แขกที่เข้าพักก็เลยเยอะตามไปด้วย ดังนั้นควรเผื่อเวลารอคิวเข้าห้องอาหารทั้งมื้อเช้าและมื้อค่ำไว้ด้วยนะจ้ะ
Toyako Manseikaku Hotel Lake Side Terrace
ที่ตั้ง: 21 Toyako-Onsen, Toyako-Cho, Abuta-gun, Hokkaido 049-5721
การเดินทาง: ที่สถานี JR Sapporo บริเวณ North Exit สามารถนั่งรถ Shuttle Bus ‘Express Toya’ ที่ออกเดินทางราว 13.00 น. มายังโรงแรมได้เลย จะถึงในเวลาราวๆ 15.30 น. โดยขากลับ รถจะออกในเวลา 10.00 น. ถึงสถานี JR Sapporo ราว 12.30 น. มีค่าบริการเที่ยวละ 1,100 เยน หรือจะนั่งรถไฟมาลงที่สถานี JR Toya แล้วนั่ง Donan Bus มาประมาณ 20 นาที ลงที่ป้ายสุดท้าย ‘Toyako Onsen Terminal’ แล้วเดินประมาณ 5 นาที ก็จะถึงโรงแรม (ถ้าเดินทางมาจากสนามบิน New Chitose ใช้เวลาขับรถประมาณ 1.30 ชม.)
MAPCODE: 321 519 551*76
เว็บไซต์: http://www.toyamanseikanku/jp
เว็บไซต์ (ทะเลสาบ): https://www.laketoya.com/th/
Umemura Garden
เมื่อได้มาเยือนเกาะฮอกไกโดทางตอนใต้ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี จุดท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ไม่ยากให้ทุกคนพลาดกันก็คือที่ Umemura Garden เป็นสวนในที่พำนักของตระกูลที่เคยมั่งคั่งมากในอดีต ตั้งอยู่ในเมือง Yakumo ซึ่งใช้เวลาขับรถมาจากทะเลสาบโทยะ ราวๆ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง
ที่นี่เป็นสวนญี่ปุ่นขนาดไม่ได้ใหญ่โตมากนัก… แต่อุดมสมบูรณ์มาก ต้นไม้แต่ละต้นมีฟอร์มที่สวย บางต้นก็มีขนาดใหญ่โตมาก ดูแล้วเห็นได้ชัดเลยว่าเป็นสวนที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เป็นสวนสวยที่โอบล้อมรอบสระน้ำ ซึ่งสามารถชมวิวสวยๆ ขอที่นี่จากเรือนพัก หรือจะเข้าไปเดินชมด้านในสวนแบบชิลๆ ก็ได้ ขอบอกเลยว่าที่นี่สวยจัด แบบเล็กพริกขี้หนูมากๆ เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ขอแนะนำว่าไม่ควรพลาด
Umemura Garden
ที่ตั้ง: 151 Suehirocho, Yakumo-cho, Futami-gun, Hokkaido 049-3112
เวลาทำการ: 10.00 – 16.30 น. ฤดูร้อนเปิด 09.00 – 17.00 น. หยุดวันจันทร์ (ปิดบริการช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม)
ค่าบริการ: ฟรี
การเดินทาง: เดินจากสถานี JR Yakumo ประมาณ 7 นาที (หากขับรถมา สามารถจอดฟรีได้ที่ Community Center ที่อยู่ใกล้ๆ กันได้)
MAPCODE: 687 602 261*22
เว็บไซต์: https://www.guidoor.jp/en/places/3608
Funkawan Panorama Park
สวนสาธารณะขนาดใหญ่ริมทะเล มีจุดชมวิวอ่าว Funkawan ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา และเปรียบเสมือนกับ Community Hall ขนาดใหญ่ของเมือง Yakumo ซึ่งนอกจากจะสามารถมาพักผ่อนหย่อนใจกันได้แล้ว ยังมีกิจกรรมไว้บริการหลายอย่าง ทั้งสนามเด็กเล่นกลางแจ้งและในร่ม ที่มีเครื่องเล่นมากมาย (มีกระทั่งหน้าผาจำลองเลยนะ) จุดตั้งแคมป์ มีบ้านพัก ร้านกาแฟและจำหน่ายของฝากของที่ระลึก รวมไปถึงสนามกอล์ฟ
นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีไฮไลท์อีกอย่างเป็นทิวต้นเบิร์ชขาวสายพันธุ์ญี่ปุ่น (Japanese White Birches) ที่บริเวณถนนด้านหน้าราว 300 ต้น ซึ่งจุดนี้เป็นเนินที่สามารถมองเห็นทะเลด้วย วิวจึงสวยแปลกตาน่าเก็บภาพมาก
สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ … จุดนี้ถือเป็นจุดแวะพักรถที่ดีงามทีเดียว
Funkawan Panorama Park
ที่ตั้ง: 368-8 Hamamatsu, yakumo-cho, Futami-gun, Hokkaido 049-3124
ค่าบริการ: ขึ้นอยู่กับบริการที่เลือกใช้
เวลาทำการ: 10.00 – 18.00 น.
การเดินทาง: นั่งแท็กซี่จากสถานี JR Yakumo ประมาณ 10 นาที แต่เหมาะกับผู้ที่ขับรถท่องเที่ยวเองมากกว่า
MAPCODE: 687 488 842*47
เว็บไซต์: http://panorama.town.yakumo.hokkaido.jp/
Harvester Yakumo
ใครอยากลิ้มลองว่าไก่ทอดสไตล์ตะวันตกชื่อดัง เมื่อเริ่มเข้ามาในญี่ปุ่นใหม่ๆ รสชาติดั้งเดิมจะเป็นแบบไหน แนะนำให้มาลิ้มลองกันที่ Harvester Yakumo ร้านอาหารที่อยู่ตรงข้ามกับ Funkawan Panorama Park แค่ข้ามถนนต้นเบิร์ชขาวญี่ปุ่นมาก็ถึงแล้ว…
ที่ร้านแห่งนี้ ดูจะขึ้นชื่อมาในหมู่คนญี่ปุ่น (ประมาณว่าเป็นจุดเริ่มต้นไก่ทอดสมุนไพร ที่เป็นต้นตำรับในญี่ปุ่นน่ะ) จึงมีลูกค้าชาวญี่ปุ่นจองโต๊ะเต็มเกือบตลอด เหมาะสำหรับมื้อกลางวันมาก เพราะมีระเบียงชมวิวทะเลกว้าง ไม่แพ้กับ Funkawan Panorama Park เลย
สำหรับอาหาร… ถ้าเป็นพวกไก่ทอดก็จะมีความคุ้นลิ้นคนไทยทีเดียวล่ะ แต่ที่นี่เขาใช้สมุนไพรในการเลี้ยงไก่ กลิ่น รส และสัมผัสของเนื้อไก่ทอดที่นี่จึงมีความลึก แต่ก็ละมุน กินง่าย และนอกจากจะมีเมนูหลักเป็นเซ็นไก่ทอดแล้ว ก็ยังมีเมนูพิซซ่า พาสตร้า ลาซานญ่า และอีกสารพัดสิ่งด้วยนะ แต่ครั้งนี้เราไม่ได้ลองชิมล่ะ
ทั้งร้าน Harvester Yakumo, Funkawan Panorama Park และแนวต้นเบิร์ชขาวญี่ปุ่น ก็ดึงดูดมากพอที่จะมาแวะเที่ยวชม+ชิม ที่นี่กันสักพักก่อนจะออกเดินทางต่อไปนะ
Harvester Yakumo
ที่ตั้ง: 365 Hamamatsu, Yakumo, Futami-gun, Hokkaido 049-3124
เวลาทำการ: 10.00 – 19.00 น. (เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล)
การเดินทาง: นั่งแท็กซี่จากสถานี JR Yakumo ประมาณ 10 นาที แต่เหมาะกับผู้ที่ขับรถท่องเที่ยวเองมากกว่า
MAPCODE: 687 518 013*85
เว็บไซต์: https://harvester-yakumo.com/
สำหรับในตอนแรกนี้ ขอหยุดเส้นทางเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เริ่มต้นจากสนามบิน New Chitose ของเกาะฮอกไกโด ค่อยๆ เที่ยวเลาะเลียบมาทางตะวันตก จนถึงจุดที่เราแวะพักรถที่เมือง Yakumo ก่อนที่จะมุ่งหน้าเดินเข้าสู่เมือง Hakodate ก็แล้วกันนะ ในตอนหน้า… เราจะไปเที่ยวกันต่อในเมือง Hakodate อย่าลืมติดตามกันน๊าาาา
เรื่องแนะนำ :
– เส้นทางเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีฮอกไกโดตะวันตก (ซัปโปโร)
– เส้นทางเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีฮอกไกโดตะวันตก (โอตารุและโจซังเค)
– เส้นทางเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีฮอกไกโดตะวันตก (ฮาโกดาเตะ)
– เที่ยวฮอกไกโด : เช็คอินจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีสุดป๊อบแห่งเกาะฮอกไกโด ตอนที่ 2
– เที่ยวฮอกไกโด : เช็คอินจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีสุดป๊อบแห่งเกาะฮอกไกโด ตอนที่ 1
#เส้นทางเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีฮอกไกโดตะวันตก (ทะเลสาบโทยะ) #เที่ยวฮอกไกโด #Hokkaido #Lake Toya