สองวันสุดท้ายของทริปเที่ยวภูมิภาคโทโฮขุตอนเหนือของเราแล้ว เรามาเที่ยวชมความงามช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จังหวัดอาคิตะและมิยางิกันต่อเลย
สองวันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว เราเริ่มกิจกรรมวันที่ 5 กันที่ Akita Furusato Village หรือหมู่บ้านบ้านเกิดอาคิตะ โดยวันนี้เราจะลองทำ มาเกะวัปปะ ซึ่งเป็นหัตถกรรมดั้งเดิมของจังหวัดอาคิตะ
ด้านหน้ามีร้านขายของฝาก ทั้งคิริทัมโปะ ข้าวบดย่างที่มีชื่อเสียง และเหล้าสาเกของอาคิตะที่มีชื่อเสียงมากเช่นกัน และที่นี่ยังมีกิจกรรมลองทำข้าวบดย่างคิริทัมโปะด้วย
เราขึ้นไปชั้น 2 เพื่อชมสถานที่แสดงสินค้าหัตถกรรมของอาคิตะกัน
งานฝีมือฉลุไม้ที่เห็นนี้เรียกว่า คุมิโคไซกุ (Kumiko Zaiku) เป็นงานไม้ฝีมือที่ละเอียดและงดงามมากๆ ตู้ไม้คุมิโคไซกุนี้ทางเมืองเคยส่งไปให้ประธานาธิปดีรีแกน ของอเมริกามาแล้ว ราคาแพงมากๆ ตู้นึงราคา 8 – 12 ล้านเยนเลยทีเดียว
โอดาเตะ มาเกะวัปปะ เป็นภาชนะไม้ทรงกระบอก ซึ่งขึ้นชื่อในเมืองโอดาเตะ ทางตอนเหนือของจังหวัดอาคิตะ ทำจากไม้อาคิตะซุกิ ความโดดเด่นคือการดัดไม้ให้โค้ง โดยเอาไปแช่น้ำร้อนให้นิ่มก่อน แล้วดัดให้โค้งเป็นรูป ปกติจะใช้เวลาทำ 1 วัน แต่วันนี้เราจะมีชุดอุปกรณ์สำเร็จรูปไว้ทำถาดใส่ของหรือใส่ขนม สามารถทำเสร็จได้เร็วกว่าปกติค่ะ
เรามาถึงห้องทำมาเกะวัปปะกันแล้วนะคะ มีของทำมือโชว์น่ารักมากๆ
อุปกรณ์ที่เตรียมไว้ให้เรา เป็นไม้ที่ดัดแบบสำเร็จรูปมาแล้ว อาจารย์ที่สอนบอกว่า ไม้ที่เรานำมาทำอายุกว่า 150 ปีเลยค่ะ เป็นไม้ที่นำมาทำเป็นส่วนประกอบต่างๆ
ถาดเราจะมีจุดสองจุดที่ทำจากไม้ซากุระป่า เป็นจุดเด่นของถาดนี้ และเราจะมาถักจุดนี้กัน โดยเราต้องนำไม้ซากุระป่าเป็นแผ่นที่แช่น้ำไว้ มาถักตามวิธีของเค้า เสร็จแล้วก็จะได้เป็นจุด 2 จุดแบบนี้ค่ะ แล้วก็ตัดไม้ที่เหลือออกด้วยคัตเตอร์
แล้วก็เอาฐานมาประกอบ และเอาไม้วงกลมเสริมมาปิดฐานอีกที โดยทำให้เส้นรอยต่อไม้ตรงกับเส้นรอบต่อของขอบล่าง
ระหว่างการประกอบ เราก็ทากาวให้ไม้ติดกันด้วย สุดท้ายเราก็เอาผ้าเช็ดกาวที่เลอะออก แล้วก็เอาผ้าขัดไม้ให้เงา เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
นอกจากการทำกิจกรรมด้านใน อย่างทำมาเกะวัปปะ หรือทำข้าวบดย่างคิริทัมโปะแล้ว ด้านนอกยังมี ปราสาท Wonder Castle จุดเด่นคือมีสไลเดอร์ 5 เมตร Trick art ท้องฟ้าจำลอง คล้ายๆ เป็นสวนสนุกขนาดเล็กให้ครอบครัวมาเที่ยวเล่นได้ค่ะ
ที่นี่มีขนาดใหญ่เท่ากับ 4 เท่าของโตเกียวโดม หน้าหนาวช่วงเดือนม.ค. ถึง ก.พ. มีหิมะตกเยอะมากๆ มีกิจกรรมรถเลื่อนด้วยใครชอบหิมะก็แวะมาเที่ยวที่นี่ได้ค่ะ
นอกจากกิจกรรม อาหารที่นี่ก็น่าสนใจ อย่าง อินานิวะอุด้ง ที่มีชื่อเสียงติด 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น มีโยโกเตะยากิโซบะ และอาหารชุดก็มีค่ะ
ออกมาด้านนอก เราเจอกับนามะฮาเกะ เป็นยักษ์ที่มีชื่อเสียงของอาคิตะ มีตำนานว่ายักษ์จะไล่ทำร้ายเด็กที่ขี้เกียจ เป็นเรื่องเล่าที่พยายามให้เด็กอาคิตะเติบโตมาเป็นเด็กขยัน
อีกอย่างหนึ่งที่ขึ้นชื่อของภูมิภาคนี้ ก็คือเทศกาลคันไซ เป็นเทศกาลที่ชาวเมืองจะเอาเสาที่ประดับด้วยโคมไฟหลายสิบอันมาเทินหัวบ้าง ไหล่บ้าง สะโพกบ้าง ซึ่งการแสดงจะทำคล้ายๆ acrobatic คือมีการละเล่น เปลี่ยนที่เทินโคมไฟไปมา ให้คนดูลุ้นเล่นๆ ว่าโคมจะหล่นไหม ซึ่งน่าสนใจมากๆ
และที่ Akita Furusato Village ก็มีตัวอย่างโคมโชว์ไว้ด้านหน้าด้วยค่ะ ใหญ่มากๆเลยนะ
สถานที่ต่อไปที่เราไปก็คือ โรงงานทำเหล้าสาเก Hinomaru Jozo ในเมืองมัตสึดะ ที่นี่ผลิตเหล้าสาเกแต่เราไม่สามารถเข้าชมคลังเหล้าได้นะคะ เพราะทางโรงงานกำลังบ่มเหล้าอยู่
ลูกกลมๆ ที่ตกแต่งด้านหน้าเรียกว่า สุกิดามะ เป็นสิ่งที่ใช้แขวนหน้าร้านสาเกเมื่อเริ่มบ่ม โดยสีเริ่มแรกจะเป็นสีเขียว และค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลตามอายุ ลูกค้าที่ผ่านไปมาก็จะรู้ว่า ร้านนี้เริ่มทำสาเกใหม่ หรือมีสาเกที่บ่มได้ที่แล้ว ตามสีของสุกิดามะที่แขวนอยู่ด้านหน้าร้าน
แทงค์ใส่สาเกที่ให้เด็กๆ มาเขียนเล่น น่ารักมากค่ะ
บ้านสวยๆ นี้คือคลังเก็บของที่เรียกว่า อุจิคุระ ซึ่งการสร้างคลังเก็บของลักษณะนี้ เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดอาคิตะเลยค่ะ อุจิคุระของที่นี่มีอายุ 112 ปีแล้ว สวยมากๆ โครงสร้างทำจากโครงไม้ และใช้ดินประกอบ ประตูสีดำที่เราเห็นเป็นชั้นๆ ชั้นนึงใช้เวลาทำ 1 ปีเลยทีเดียว
ด้านในอาคารก็สวยมากๆ ไม้มีการลงรักยางไม้ เพื่อกันน้ำ ทำให้ไม้มีสีแดงสวยงาม สายไฟและกระจกก็ใช้มาตั้งแต่สมัยเมจิแล้ว
ในช่วงหน้าหนาว ที่นี่หิมะทับถมถึง 2 เมตร จึงต้องสร้างคลังเก็บของให้ปลอดภัยจากหิมะ ในสมัยก่อนคาดว่าที่นี่ใช้เป็นที่เก็บของ เป็นที่อาศัยส่วนตัวของเจ้าของ และยังใช้ต้อนรับลูกค้าที่มาซื้อสาเกด้วย
เราแวะมาต่อที่ศูนย์การท่องเที่ยว เมืองมัตสึดะ เพื่อชมลักษณะบ้านในสมัยก่อนของชาวบ้านเมืองมัตสึดะ บ้านด้านในค่อนข้างมีชื่อเสียง เป็นสปอตถ่ายรูปในโฆษณาด้วยนะคะ
ระหว่างเดินไปร้านอาหารกลางวัน เราได้ชมบรรยากาศสิ่งก่อสร้างในเมือง ซึ่งยังคงเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่นสมัยก่อน
บ้านไม้ที่มีต้นไม้ใบสีแดงนี้คือร้านอุด้ง Sato Yosuke Shoten ที่เราจะมาทานอาหารกลางวันกันค่ะ เมนูที่มีชื่อเสียงก็คือ อินานิวะ อุด้ง ด้านในคงเอกลักษณ์ร้านสมัยโบราณไว้ ได้บรรยากาศมากๆ นอกจากร้านอาหารแล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์ด้วย
และที่นี่ก็มีอุจิคุระหรือคลังเก็บของด้วยเหมือนกัน ซึ่งสร้างมา 99 ปีแล้ว เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์เล่าว่า อุจิคุระของที่นี่ใช้เวลาสร้างนานมากๆ เลือกไม้ 8 ปี ตัดไม้และวางแพลน 8 ปี และสร้างจริงอีก 8 ปี
ลองทานอินานิวะอุด้งกันเลย อุด้งเส้นเหนียวนุ่มมากๆ คล้ายๆ พาสต้า ลื่นคอ หนึบกำลังดี ไม่เละ ไม่แข็ง ข้าวอบใส่ผักและเต้าหู้ก็รสชาติกลมกล่อม หอมนุ่ม
นอกจากเมนูอุด้งในน้ำซุปใสธรรมดาแล้ว ยังมีอุด้งกับน้ำแกงเขียวหวาน และแกงแดงแบบไทยให้เลือกทานด้วย เข้ากันได้อย่างลงตัว คนไทยน่าจะชอบกันค่ะ
จากร้านอาหารกลางวันในอาคิตะ เราข้ามภูเขาไปที่ Motsuji Temple ที่อยู่ในเมืองฮิราอิซุมิ (Hiraizumi) จังหวัด อิวาเตะ เป็นวัดที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (World Heritage)
วัดนี้โดดเด่นที่สวนสมัยเฮอันอายุ 1,000 ปี มีใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม และมีโบราณสถานที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรม โดยสวนแห่งนี้มี theme คือ การจำลองภาพของดินแดนบริสุทธิ์ตามศาสนาพุทธ หรือสวรรค์ ที่คนที่ยังมีชีวิตสามารถเข้ามาชื่นชมได้
เดินเข้ามา มีหินที่สลักกลอนไฮกุ ของ Matsuo Basho และได้มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษสลักไว้ที่หิน เพื่อเผยแพร่ปรัชญาของจิตใจคนญี่ปุ่นให้คนต่างชาติรับรู้ โดยเป็นการแปลไฮกุ เป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกของโลก
เดินต่อเข้ามาจะเป็นอาคารอุโบสถหลักของวัด มีพระพุทธรูป ยาคุชิเนียวไร ที่มีชื่อเสียงเรื่องการบรรเทาความกลุ้มใจ หรือปัญหาต่างๆ ของคนที่มาขอพร
จากนี้เราก็เข้ามาถึงส่วนที่เป็นสวนแดนสววรค์จำลอง เมื่อก่อนมีประตูสูง และสะพานข้ามบ่อน้ำ แต่ปัจจุบันไม่มีอะไรหลงเหลือแล้ว เนื่องจากเกิดไฟไหม้ เหลือเพียงบ่อน้ำที่ล้อมรอบด้วยธรรมชาติ สวยงามตามแบบญี่ปุ่น
ด้านในมีต้นโมมิจิต้นใหญ่ ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองผสมแดงสวยงาม
เจ้าหน้าที่เล่าว่า ที่นี่เป็นที่แห่งแรกที่ค้นพบทองในญี่ปุ่น ราชสำนักจึงยกทัพมาจากเกียวโตโจมตีที่นี่ เพราะต้องการทอง และต้องการทรัพยากรของเมืองฮิราอิซุมิ เช่น ม้า ซึ่งมีคุณค่ามากในสมัยนั้น จนในศตวรรษที่ 18 เกิดเป็นสงครามที่ยาวนานที่สุดในญี่ปุ่น
จนกระทั่งฟูจิวาระ คิโยฮิระ เจ้าเมืองในรุ่นหลัง ได้ใช้ทอง ม้า และทรัพยากรอื่นๆ ขอไกล่เกลี่ยกับทางเกียวโตเพื่อยุติสงคราม แต่จากสงครามที่ยาวนาน ทำให้ชาวบ้านหดหู่เสียขวัญกำลังใจ เขาจึงมีแนวคิดจะใช้พระพุทธศาสนา สร้างโลกที่ไม่มีสงคราม เพื่อกอบกู้จิตใจชาวบ้าน รวมไปถึงทำบุญให้ชาวเมืองที่เสียชีวิตจากสงคราม จนเกิดเป็นสวนเพื่อจำลองดินแดนบริสุทธิ์แห่งนี้ขึ้นมา
ที่เห็นมีหินมาวางเรียงนี้ คือส่วนที่เป็นฐานของซากปรักหักพังของอาคารในสมัยก่อน โดยนักท่องเที่ยวเอาหินมาเรียงเพราะมีความเชื่อว่าจะโชคดี
วิวใบไม้เปลี่ยนสีที่ล้อมรอบสวน สวยมากๆ
จากวัดเราก็นั่งรถเข้าเมืองเซนได เพื่อไปเก็บกระเป๋าที่โรงแรม Sendai Metropolitan โรงแรมที่เราจะพักคืนนี้ค่ะ ห้องกว้าง มีของใช้ครบครัน สะดวกสบายมากๆ
เก็บของที่โรงแรมแล้ว เราก็เดินมาที่ร้านอาหารเย็นของวันนี้ คือร้าน Date no Gyutan เพื่อทานเมนูที่มีชื่อเสียงของเซนไดมากๆนั่นคือ ลิ้นวัว กันค่ะ
ร้านนี้ได้มิชลินไกด์ด้วยนะ
ขึ้นมาชั้น 3 เป็นชั้นสำหรับลูกค้าจอง ขึ้นมาแล้วตกใจมาก เพราะตกแต่งร้านน่ารักมากๆๆๆ เหมือนคาเฟ่เลย
Appetizer น่าทานมากๆ มีหลายเวอร์ชั่น สำหรับคนที่ไม่ทานปลา ไม่ทานของดิบ ไม่ทานหมู ก็มีอาหารต่างๆ กัน ส่วนแบบปกติ จะมีปลาซาบะซาชิมิ ปลาคัตสึโอะลนไฟ ไก่ทอด ลิ้นวัวรมควัน และพาร์มาแฮม
ในที่สุดเมนของเราก็มานะคะ เป็นลิ้นวัวย่างชิ้นหนา น่าทานมากๆ มากับผักดองและพริก ส่วนคนที่ไม่ทานลิ้นวัว ก็ได้ปลาย่าง หรือไก่ทอดค่ะ
ลิ้นวัวชิ้นหนามีไขมันแทรก ไม่แข็งเลย ไม่เหนียว กรุบกรอบและนุ่มมากๆ หอมถ่านที่ย่าง รสกลมกล่อม ไม่ต้องมีน้ำจิ้มเลย
ต่อมาเป็นสตูลิ้นวัวค่ะ ตุ๋นมานุ่มมากๆ คล้ายๆ ขาหมูเลย
เมนูสุดท้ายเป็น โอจาสุเกะ หรือข้าวราดน้ำซุป (หรือน้ำชา) เป็นโอจาสุเกะหน้าปลาไหลค่ะ
ทานอาหารอิ่มแล้ว คนท้องถิ่นก็ได้พาเราไปชม โยโกโจ หรือตรอกกินดื่มของคนท้องถิ่น
ถ้าใครสนใจก็แวะมาได้ค่ะ ที่ Sendai Ginza และ Iroha Yokocho ซึ่งทั้งสองแห่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีเซนได สามารถเดินได้ประมาณ 10 – 15 นาทีค่ะ สำหรับคืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายแล้ว แต่ยังเหลือกิจกรรมน่าสนุกรอเราอยู่อีก 1 วันในวันสุดท้ายก่อนจะกลับโตเกียวกันนะคะ
เอาล่ะค่ะทริปของเราก็เดินทางมาถึงวันสุดท้ายแล้วนะคะ เริ่มต้นวันสุดท้ายเราออกจากโรงแรม Sendai Metropolitan เดินไปที่ตลาดเช้า Sendai Morning Market เดินไม่ไกล ประมาณ 10 นาที ก็ถึงค่ะ
ตลาดเช้าสร้างหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เหมือนกับตลาดอาเมโยโกะที่อุเอโนะ ขายผัก ปลา ของสดต่างๆ ตามฤดูกาล เป็นผลผลิตท้องถิ่น ไม่เหมือนของที่ขายในซุปเปอร์ฯ ถือเป็นครัวของชาวเซนไดเลยทีเดียว ตลาดนี้หยุดวันอาทิตย์และวันหยุดราชการ เปิดตั้งแต่ 08.00 – 18.00 น.
เราเจอของที่ไม่เจอที่อื่น เช่น มาการิเนกิ หรือต้นหอมนี้ มีลักษณะงอ เพราะตอนเพาะเลี้ยง ต้องพยายามกดหอมให้จมลงไปในดิน เพื่อไม่ให้โดนหิมะ
แอปเปิล อาโวคาโด ลูกใหญ่น่าทานมาก
มีร้านโอโควะ หรือข้าวเหนียวปรุงรส เหมาะกับการซื้อทานเป็นอาหารเช้า
อาหารทะเล ทั้งหอยนางรมและปลา
ผักผลไม้ต่างๆ
ผักยูกินะ ที่หาทานได้ยาก มักจะใส่ในแป้งของเซนได อาโอบะเกี๊ยวซ่า เกี๊ยวซ่าสีเขียวที่ขึ้นชื่อของเซนได
ร้านของทอด
มีร้านขนมปังทำใหม่ๆ และร้านกาแฟข้างในด้วยค่ะ
ในซอยนี้ มีร้านขายของกว่า 70 ร้านเลยค่ะ
หลังจากเดินทั่วตลาดแล้ว เรานั่งรถไปต่อกันที่ Sendai Nogyo Engei Center ศูนย์การเกษตรและสวนของเซนได ที่นี่มีสวนดอกไม้ และกิจกรรมเก็บผลไม้ตามฤดูกาลได้ตลอดปี เช่น แอปเปิล มะเขือเทศ และองุ่น พอเข้าไปก็มีการตกแต่งด้วยดอกไม้ประปราย น่ารักมากเลยค่ะ
ดอกฮาโบตัน เหมือนดอกกะหล่ำเลย
วันนี้เราจะลองไปเก็บแอปเปิลกันค่ะ แต่ก่อนที่เราจะไปเก็บแอปเปิล เจ้าหน้าที่ก็อธิบายเราว่า สวนนี้เปิดมา 4 ปี และได้ผลผลิตเป็นปีที่ 3 แล้ว ใช้เทคนิคการต่อกิ่ง (เรียกว่า สึกิคิ) โดยเอากิ่งมาผสมต่อกิ่งกัน ข้อดีคือต้นไม้จะออกผลเร็วกว่าปกติ และประหยัดแรงงาน ควบคุมได้ง่าย เป็นระเบียบ ลูกค้าก็สามารถเข้าไปเลือกและเก็บผลไม้ได้ง่าย
แอปเปิลที่เราเห็นในซุปเปอร์ฯ ทั่วไป มักจะเก็บก่อนผลไม้สุกได้ที่ แต่ที่นี่เค้าจะปล่อยให้สุกเต็มที่คาต้นเลย ลูกค้าจึงสามารถชิมผลไม้รสชาติดีได้ที่สวนเลย และสวนนี้ยังเดินทางมาง่าย เพราะสวนอยู่ไม่ใกลจากสถานีเซนไดนัก
นอกจากนี้ ที่นี่ยังมี JR Fruits Park สวนผลไม้แห่งใหม่ที่อาราฮามะที่อยู่ใกล้ทะเล ที่กำลังจะเปิดปีหน้าด้วย โดยที่พิเศษกว่าตรงจุดนี้ ก็เพราะมีสตรอเบอรี่ให้เก็บ และยังเก็บผลไม้ได้หลายชนิดในเวลาพร้อมๆ กัน และยังมีผลไม้ต่างๆ อีกกว่า 34 ชนิด
แอปเปิลของญี่ปุ่นบางทีจะมีน้ำหวาน หรือมิตสึ อยู่ข้างใน ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่เก็บสะสมในใบไม้ ไหลเข้าไปในผลไม้ และถูกเก็บกักไว้ข้างใน เอนไซม์ทำงานเปลี่ยนธาตุอาหารเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในแอปเปิล ซึ่งจะหวานมาก มีกลิ่นหอมเหมือนสับปะรด ถ้าใครเจอมิตสึในแอปเปิล อย่าตกใจนะคะ ไม่ได้เน่าค่ะ อร่อยกว่าปกติอีกด้วยนะ แต่ข้อเสียก็มีนิดนึง คือจะเสียง่าย อย่างไรก็ตาม ใส่ตู้เย็นก็ยังเก็บได้นานถึงราว 2 เดือน
เราจะเริ่มเก็บแอปเปิลกันนะคะ เก็บได้ 3 ลูก ลูกสีเหลือง (พันธุ์ Gunma Meigetsu) 2 ลูก สีแดง (พันธุ์ Koutoku) 3 ลูก สีแดงจะมีมิตสึเยอะ สีเหลืองอาจมีน้อย แต่หวานมาก หลายๆ คนบอกว่า พันธุ์ Koutoku อร่อยมากๆ หวานที่สุดที่เคยกินมาเลย
เวลาเลือก ให้ดูจากสี แต่ไม่ควรดูย้อนแสง ให้เลือกสีแดงเข้มๆ ลูกที่ยังมีเหลืองๆ นิดหน่อย ยังเก็บไม่ได้ค่ะ
และดูที่ก้น ถ้าก้นยังเขียวหน่อยๆ ยังเก็บไม่ได้ และอีกอย่างคือ ลูกที่สุกแล้ว ผิวจะหนืดๆติดมือเล็กน้อยค่ะ วิธีเก็บก็คือ จับ แล้วพลิกมือขึ้นข้างบน แอปเปิลก็จะหลุดจากต้นค่ะ
จับแบบนี้
พลิกมือขึ้นด้านบน แอปเปิลจะหลุดออกมาค่ะ
แบบนี้ยังเขียวอยู่ เก็บไม่ได้ค่ะ
อันนี้แดงแล้วค่ะ
ได้แอปเปิลมาแล้วค่ะ กัดมาข้างในมีมิตสึเยอะมากๆ กรอบ และหวานมากกกก
นี่คือรอยต่อกิ่งนะคะ
ต่อไป ไปเก็บพันธุ์ Meigetsu กันค่ะ จะเป็นสีเหลือง อาจปนแดงเล็กน้อยถ้าโดนแดด เลือกลูกที่เหลืองทองสวยงาม ถ้ายังมีสีเขียว ยังเก็บไม่ได้ค่ะ
ราคาเก็บทั่วไปนะคะ เก็บแอปเปิลสีแดง 6 ลูก 1,500 เยน สีเหลือง 6 ลูก 1,500 เยนค่ะ
เจ้าหน้าที่พามาดูพันธุ์ฮารุกะ หวานมากๆ ระดับน้ำตาล 18 – 20 เลยทีเดียว (ส่วนแอปเปิล Koutoku ประมาณ 15 – 16 ค่ะ) และ Gunma Meigetsu ระดับความหวานประมาณ 15 ค่ะ ที่อิวาเตะ ขายในชื่อ Premium Fuyu Koi Ringo หรือแอปเปิลแห่งรักในฤดูหนาว ลูกละ 5,000 เยนเลยทีเดียว แต่ตอนนี้ยังเก็บไม่ได้
แอปเปิลทั่วไป ถ้ามีระดับความหวานมากกว่า 14 จะรู้สึกหวานอร่อย
เราเดินมาดูสวนบลูเบอรี่ด้วย แต่ช่วงนี้เลยฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว ใบไม้เริ่มกลายเป็นสีแดง บลูเบอรี่จะเก็บได้ช่วง มิ.ย – ก.ย. ค่ะ
เดินเจอสวนลูกแพร์ และองุ่นไชน์มัสคัต ที่แพงมากๆ เก็บได้ช่วงเดือน ก.ย. ถึง ต.ค. เก็บไชน์มัสคัต 1 พวง องุ่นควีนนีน่าสีม่วง 1 พวง และลูกแพร์ 3 ลูก 3,000 เยน เรื่องราคาเก็บ และฤดูกาลเก็บผลไม้ สามารถดูได้จากเว็บไซต์ หรือจะอีเมล์ไปสอบถามเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ค่ะ
ต่อไปเราไปทานอาหารกลางวันกันที่ Shokeikaku ซึ่งเป็นคฤหาสน์ซามูไรในสมัยก่อนของตระกูลดาเตะ ซึ่งตระกูลดาเตะนี้ เป็นตระกูลของเจ้าเมืองเซนได รุ่นที่15 สร้างขึ้นเมื่อ 150 ปีที่แล้ว หลังการปฏิรูปเมจิ
ด้านในเป็นบ้านไม้ที่เก่าแก่ มีเพดานสูง ที่นี่จักรพรรดิแห่งโชวะ และจักรพรรดิแห่งเฮเซ เคยมาด้วย ซึ่งโซฟานี้องค์จักรพรรดิเคยนั่งมาแล้ว ลองนั่งได้ด้วยนะคะ นิ่มมากๆ
ตราประจำตระกูลดาเตะ ซึ่งเอาไว้บังรอยตะปู แต่บ้านหลังนี้ไม่ได้ใช้ตะปูเลยค่ะ สีดำที่เห็นทำจากหนังกวาง
วิวจากหน้าต่าง มองเห็นหลังคาที่มีความสูงต่ำต่างกัน สมัยก่อนนินจาปีนตามหลังคานี้แหล่ะค่ะ
ข้างหลังมีห้องเล็กๆ 3 เสื่อ ไว้ให้บอดี้การ์ดของจักรพรรดิ
บันไดที่กว้าง เพราะสมัยนั้นชาวต่างชาติใส่กระโปรงสุ่มใหญ่ จึงต้องทำบันไดกว้างให้เดินได้ค่ะ
มาถึงห้องอาหารกันแล้ว อาหารอลังการมากๆๆๆ ค่ะ
มีเซตมีอาหารหลายอย่าง มีอาหารใส่มาในลิ้นชักด้วยนะ น่ารักเหมือนเซต Afternoon Tea เลย
ขนมน่าทานมากๆ
สุดท้าย เราได้ลองสวมเสื้อเกราะที่ใช้จริงๆ ในสมัยนั้นด้วยค่ะ
มาถึงที่สุดท้ายของวันนี้แล้วนะคะ เรามากันที่ Aoba Castle ลองใช้ VR เพื่อลองดูปราสาทเซนไดในสมัยเมื่อ 400 ปีที่แล้วกันค่ะ ในแว่น VR เราจะมองเห็นภาพจำลองของปราสาทในสมัยก่อน ปราสาทนี้เรียกว่า ปราสาทอาโอบะ หรือปราสาทเซนได ก่อตั้งโดย ดาเตะ มาซามูเนะ ซึ่งเป็นไดเมียวหรือเจ้าเมืองของเซนไดในยุคนั้น
จากจุดแรกที่เรารับแว่น เดินต่อไปจุดที่ 2 เป็นประตูใหญ่ด้านหน้าของอาคารหลัก ปัจจุบันเหลือแค่กำแพงหินด้านซ้ายขวาเท่านั้น แต่ในกล้อง VR เราสามารถเห็นภาพจำลองในสมัยนั้นได้ โดยจำลองภาพมาจากแผนที่ภาพหน้าตัด และภาพวาดในประวัติศาสตร์สมัยเอโดะ
จุดต่อไปคือ โอฮิโรมะ หรือ Main Hall ของปราสาท ผนังทาเป็นสีทองและมีรูปวาดนกยูงสวยงามมาก แต่น่าเสียดายที่หลังการปฏิรูปเมจิ ปี 1873 รัฐบาลรื้อปราสาทออก ปัจจุบันเหลือแต่เสา
ใน VR เราจะเห็นการตกแต่งที่สวยงามของ interior ภายใน ที่แตกต่างกันระหว่างส่วนที่ต้อนรับโชกุนและแขกจากเมืองหลวง และส่วนที่เป็นห้องส่วนตัวของดาเตะ มาซามูเนะ นอกจากนั้น ในอาคารยังมีเวทีละครโน ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงที่ดาเตะ มาซามูเตะชื่นชอบและตีกลองเองด้วย
ตัวอย่างแผนที่ภาพตัดที่นำมาสร้าง VR
ถ้ามาดูเอง เราสามารถตาม QR code เพื่ออ่านข้อมูลเป็นภาษาต่างๆ ได้ด้วยค่ะ
สุดท้าย เราไปถ่ายกับซามูไรที่มาถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวด้านหน้าอนุสาวรีย์ท่านดาเตะ มาซามูเนะ โดยตอนถ่ายรูป แทนที่จะพูดว่า ไฮ ชีส~ เพื่อยิ้มตอนถ่ายรูปแบบปกติ พี่ซามูไรเค้าให้เราพูดว่า ซุนดะโมจิ~ ซึ่งเป็นขนมขึ้นชื่อของเซนไดแทนค่ะ
จากปราสาทเซนได เราก็ได้เวลาที่ต้องไปสถานีเซนได้เพื่อขึ้นชินกันเซ็นกลับโตเกียวกันแล้ว เราขึ้นรถไฟชินกันเซน Hayabusaเวลา 16.30 น. และถึงโตเกียวเวลา 18.00 น. ค่ะ
ถือว่าเป็นทริปที่ได้ทั้งชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติที่สวยงามและใบไม้เปลี่ยนสีในโทโฮคุ ลองชิมอาหารขึ้นชื่อแสนอร่อย เรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจากสถานที่สำคัญต่างๆ แล้วยังได้ลองทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำมากมาย เป็นทริปที่ได้ความรู้และได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างคุ้มค่าใน 6 วันเลยค่ะ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– เที่ยวภูมิภาคโทโฮขุตอนเหนือ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ตอนที่ 2
– เที่ยวภูมิภาคโทโฮขุตอนเหนือ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ตอนที่ 1
– สงกรานต์นี้บินตรงเซนได ไปชมซากุระ หาของอร่อยกินที่โทโฮขุกันเถอะ
– โทโฮขุ (Tohoku) อีสานแห่งญี่ปุ่น
– เที่ยว 3 เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ แห่งภูมิภาค Tohoku ตอนใต้
#เที่ยวภูมิภาคโทโฮขุตอนเหนือ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ตอนที่ 3 #ใบไม้เปลี่ยนสี