เราข้ามจากจังหวัด Hyogo มายังต่อกันที่จังหวัดโอคายาม่า (Okayama) จังหวัดที่มีตำนานหนุ่มน้อย Momotaro และได้รับฉายานามว่า “อาณาจักรแห่งผลไม้”
ถึงเวลาเที่ยวจังหวัดโอคายาม่า (Okayama) แห่งภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku) กันบ้างแล้ว
เราข้ามจากจังหวัด Hyogo มายังต่อกันที่จังหวัดโอคายาม่า จังหวัดที่มีตำนานหนุ่มน้อย Momotaro และได้รับฉายานามว่า “อาณาจักรแห่งผลไม้”
JR Okayama Station
นั่งรถเมล์ไปเที่ยวสวนกันจ้า ^^
ที่หน้าสถานี จะขาดสัญลักษณ์ของจังหวัดได้ไง หนุ่มน้อย Momotaro
Korakuen Garden
ถึงแล้ว สวนโคระคุเอ็น (Korakuen) ที่มีฉากหลังเป็นปราสาท Okayama
จุดแรกที่เราไปเที่ยวกันที่ Okayama ในทริปนี้ก็คือ สวนโคระคุเอ็น (Korakuen Garden) 1 ใน 3 สุดยอดสวนสวยของญี่ปุ่น อันประกอบไปด้วยสวนเคนโระคุเอ็น (Kenrokuen Garden) ในจังหวัด Ishikawa, สวนไคระคุเอ็น (Kairakuen Garden) ในจังหวัด Ibaraki และสวนโคระคุเอ็น ของจังหวัด Okayama แห่งนี้นี่เอง แถมสวนโคระคุเอ็นยังเป็น Michelin Green Guide Japan ระดับ 3 ดาวอีกด้วย!!
สวนแห่งนี้ถูกสั่งให้สร้างขึ้นโดยไดเมียว (daimyo) Ikeda Tsunamasa เมื่อปี 1687 ซึ่งเป็นผู้ครองเมืองในยุคนั้น และสร้างเสร็จในปี 1700 ปัจจุบันจึงเป็นสวนที่มีประวัติยาวนานถึง 3 ศตวรรษ เป็นสวนที่มีองค์ประกอบงดงาม ที่คงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน และสามารถมองเห็นได้จากชั้นบนของปราสาทโอคายาม่า (Okayama Castle) ที่ตั้งอยู่อีกฟากของแม่น้ำ Asahi ด้วย
เรือนน้ำชาในสวน เป็นอีกหนึ่งจุดที่สามารถชมสวนได้ในมุมกว้าง เป็นมุมที่ดีทีเดียว
ในช่วงใบไม้ผลิที่สวนแห่งนี้มีต้นซากุระอยู่มาถึง 280 ต้น ทั้งที่อยู่ด้านในและถูกปลูกอยู่ด้านนอกสวน (Asahi River Sakura Road) ยาวกว่า 1.3 กม. ในขณะที่ฤดูใบไม้ร่วง ก็มีใบเมเปิ้ลสีส้มแดงให้ชมกันถึงราว 100 ต้น เป็นช่วงเวลาที่ควรมาเยือนสวนแห่งนี้เช่นเดียวกัน และถ้าใครได้มีโอกาสมาในช่วงที่ที่สวนแห่งนี้จัด Illumination ตอนกลางคืน ก็อยากให้ลองมาชมกันนะ เป็นช่วงเวลาที่สวนโคระคุเอ็นมีเสน่ห์มากๆ ไม่แพ้กับความสวยงามในตอนกลางวันเลย โดยจะจัดขึ้นราวเดือนพฤศจิกายนของทุกปี (Garden Illumination & Castle Illumination)
ทางขึ้นเนินไปชมวิวจากกลางสวน ..ขนาดทางเดิน ยังมีเสน่ห์เลย
Korakuen Garden
ที่ตั้ง : 1-5 Korakuen, Kita Ward, Okayama City, Okayama
เปิดบริการ : เปิดบริการทุกวัน โดยวันที่ 20 มี.ค. – 30 ก.ย. เปิดตั้งแต่ 07.30 – 18.00 น. / 1 ต.ค. – 19 มี.ค. เปิดตั้งแต่ 08.00 – 17.00 น.
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 400 เยน เด็ก 140 เยน (ราคาแพ็คเก็จ รวมค่าเข้าปราสาทโอคายาม่า 560 เยน)
การเดินทาง : นั่ง Streetcar (tram) จากสถานี JR Okayama มาประมาณ 5 นาที ลงที่ป้าย Shiroshita แล้วเดินเท้าประมาณ 10 นาทีก็ถึง หรือนั่งรถบัสที่มุ่งหน้าไปยัง Fujiwara-Daichi ใช้เวลาประมาณ 12 นาที ลงที่ป้าย Korakuen-mae
เว็บไซต์ : http://okayama-korakuen.jp/english/
Okayama Castle
เดินข้ามแม่น้ำ ไปชมปราสาท Okayama กันบ้าง
ปราสาทโอคายาม่า (Okayama Castle) ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวน Korakuen ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งในจังหวัดโอคายาม่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียน Michelin Green Guide Japan (ระดับ 1 ดาว) ซึ่งตัวปราสาทมีอายุเก่าแก่กว่า 400 ปี สร้างแล้วเสร็จในปี 1605 โดยคำสั่งของ Hideie Ukita อดีตท่านเจ้าเมืองของที่นี่
โดยปราสาทโอคายาม่า มีอีกชื่อเล่นหนึ่งเรียกว่า “U-jo” หรือปราสาทอีกา ด้วยความที่ตัวปราสาทมีสีดำคล้ายสีขนของกา ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันศัตรูมารุกราน แต่ก็ยังสะดวกต่อการคมนาคมขนส่ง เพราะพ่อค้าสามารถขนส่งสินค้ามายังปราสาท หรือแขกที่ได้รับเชิญก็สามารถเดินทางมาทางน้ำได้อย่างสะดวก เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Asahi
จากบนปราสาท เห็นสวน Korakuen ชัดเจนเชียว
ภายในปราสาท นอกจากจะถูกจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับปราสาทแห่งนี้แล้ว ยังมีมุมให้เราสามารถทดลองแต่งชุดกิโมโน เป็นท่านลอร์ดหรือเป็นเจ้าหญิงแล้วถ่ายรูปเล่นได้อย่างฟรีๆ อีกด้วย (เปิดบริการ 5 ครั้งต่อวัน ครั้งละ 5 ท่านเท่านั้น คือเวลา 10.00, 11.00, 14.00, และ 15.00 น.) และยังมีจุดให้หัดปั้นเครื่องปั้นดินเผา แล้วก็มีร้านขายพาร์เฟ่ต์แสนอร่อยอยู่บริเวณชั้น 2 ของปราสาทด้วยนะ ชื่อว่า Oshiro Chaya (Castle Teahouse) ควรค่าแก่การชิมพาร์เฟ่ต์ น้ำพีชขาว หรือไอศกรีมพีชขาว มาแล้วต้องลองชิมกันด้วยนะ (เรามาเย็นมากแล้ว เลยอดกิน แงงงงงง >< )
ในปราสาท ก็จะจัดเป็นพิพิธภัณฑ์
มีมุม แต่งเครื่องแต่งกายแบบยุคปราสาทญี่ปุ่น ฟรีล่ะ
กิจกรรมทำเครื่องปั้นดินเผา มาลองทำกันได้ในตัวปราสาทเลย
Okayama Castle
ที่ตั้ง : 2-3-1 Marunouchi, Kita Ward, Okayama City, Okayama
เปิดบริการ : 09.00 – 17.30 น. และปิดบริการวันที่ 29-31 ธ.ค.
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 120 เยน (ราคาแพ็คเก็จ รวมค่าเข้าชมสวนโคระคุเอ็น 560 เยน)
การเดินทาง : นั่ง Streetcar (tram) จากสถานี JR Okayama มาประมาณ 5 นาที ลงที่ป้าย Shiroshita แล้วเดินเท้าประมาณ 10 นาทีก็ถึง หรือนั่ง Okaden Bus ที่มุ่งหน้าสู่ Okaden Takaya ลงที่ป้าย Kencho-mae
เว็บไซต์ : http://okayama-kanko.net/ujo/english/index.html
Hotel Granvia Okayama
Hotel Granvia Okayama ตั้งอยู่หน้าสถานี Okayama เลย
การเลือกพักที่โรงแรม Hotel Granvia Okayama นับว่าเป็นทางเลือกที่ฉลาดไม่น้อย เนื่องจากเป็นโรงแรมที่ให้บริการแบบครบวงจร เรื่องห้องพักและบริการระหว่างการเข้าพักต่างๆ เชื่อถือได้ ที่สำคัญคือที่ตั้ง ซึ่งอยู่ในบริเวณสถานี JR Okayama เลย (เชื่อมต่อกันที่บริเวณชั้น 2) เป็นทั้งศูนย์รวมด้านการเดินทาง ร้านอาหารอร่อยๆ และแหล่งช้อปปิ้ง ซึ่งรายล้อมไปด้วยห้างร้านต่างๆ อาทิ Takashimaya, Bic Camara, AEON MALL Okayama, Don Quijote (ร้านดองกี้), Matsumoto Kiyoshi (ร้านขายยาและเครื่องสำอาง) รวมไปถึง Okayama Ichibangai (แหล่งช้อปปิ้งใต้สถานี Okayama) และ Tenmaya Okayama (Omotecho Sreet and Romantic Shopping Street) ที่มี Duty Free counters อยู่ด้วย นี่แค่บางส่วนของห้างร้านที่รวมตัวกันอยู่ในบริเวณนี้เท่านั้น ยังมีอีกเพียบ! ^^
ดังนั้น เมื่อยังไม่ได้เวลาอาหารค่ำ หลังจากเช็คอินแล้ว เราจึงแยกย้ายกันไปช้อปปิ้ง
Hotel Granvia Okayama
ที่ตั้ง : 1-5 Ekimotomachi, Kita-ku, Okayama City, Okayama 700-8515
การเดินทาง : ตั้งอยู่บริเวณสถานี JR Okayama เลย!
ดูรายละเอียดโรงแรมที่นี่ >> Hotel Granvia Okayama
Ikiya Restaurant
ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในท้องถิ่น คัดสรรวัตถุดิบอย่างดี ตามฤดูกาล แล้วคิดค้นเมนูมาเพื่อให้เราได้ดื่มด่ำกับอาหารรสชาติพิเศษ รสมือเฉพาะของที่ร้าน Ikiya แห่งนี้เท่านั้น สมแล้วที่มีสโลแกนร้านว่า “Cooking of art”
Ikiya Restaurant
ที่ตั้ง : 2-1-7 Yanagi-cho, Kita-ku, Okayama-shi, 700-0904 (Rapol Building 1F)
เปิดบริการ : เฉพาะมื้อค่ำเท่านั้น ตั้งแต่เวลา 18.00 – 24.00 น. (ปิดบริการทุกวันพุธ)
การเดินทาง : จากสถานี Okayama เดินผ่านหน้าห้าง AEON MALL Okayama ไปเรื่อยๆ บนถนน Shiyakusho-suji จนเจอ “Joypolis” อยู่ฝั่งเดียวกับ AEON จากนั้นข้ามถนนเพื่อเข้าซอยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ Joypolis เดินเข้าซอยไปไม่ไกลนัก จะพบร้าน Ikiya ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งขวามือ
จองล่วงหน้า : โทร. 086-801-2828 (ภาษาญี่ปุ่น)
เว็บไซต์ : http://ikiya.info (ภาษาญี่ปุ่น)
====================
ในตอนเช้า เราจัดการส่งกระเป๋าใหญ่ที่ร้าน Nekono te Station ซึ่งอยู่ภายในสถานีรถไฟ JR Okayama เหลือติดตัวไว้แค่เป้และเสื้อผ้าสำหรับค้างคืน 1 คืน ส่วนกระเป๋าใหญ่ส่งไปยังโรงแรมในคืนถัดไป ซึ่งพอเคลียร์กระเป๋าเรียบร้อย เราก็จับรถไฟ ไป 15 นาที ก็ถึงสถานี Bizen Ichinomiya Station แล้วเช่าจักรยานปั่นกัน (^^)
ร้าน Nekono te Station ส่งกระเป๋าไปโรงแรมหน้าจ้าาาา เพราะวันนี้จะปั่นจักรยานกัน จัดเป้ไว้ค้างคืน 1 คืน ชิลๆ
Kibiji Cycling Road
ถึงละ สถานี JR Bizen-Ichinomiya
ตอนเช้า .. เป็นเวลาที่เหมาะอย่างยิ่งในการปั่นจักรยานเที่ยวชมธรรมชาติ รับบรรยากาศที่สดชื่น (^^)
ด้านหน้าสถานี เป็นร้านเช่าจักรยาน
และจุดที่ประทับใจที่สุดของทริปนี้ก็คือ การได้ปั่นจักรยานชมพื้นที่ด้านนอกของเมือง Okayama นี่แหล่ะ!! มันคือดีมากกกก บรรยากาศดีสุดๆ ตลอดสองข้างทางเป็นทุ่งนา เรือกสวน คลองส่งน้ำ วัดและศาลเจ้า รวมถึงปราสาทเก่าแก่ มันเจ๋งมาก ปั่นก็ง่าย เพราะไม่มีเนินสูงอะไรมากนัก แถมจะแวะจุดไหนก็สะดวก ถ่ายรูปเล่นได้ฟินสุดๆ เส้นทางปั่นก็ราบเรียบ ตีเส้นชัดเจน มีป้ายบอกทางและระบุเส้นทางไว้บนพื้นด้วย เรียกว่าแทบไม่มีโอกาสหลง แถมเส้นทางปั่นจักรยานเขาก็ออกแบบได้น่าสนใจ คือเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโมโมทาโร่ (Momotaro) หรือเด็กชายลูกท้อผู้ฆ่ายักษ์ตามตำนานพื้นบ้านอันโด่งดังของญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อว่ามีต้นกำเนิดมาจากที่นี่นั่นเอง ถ้าเพื่อนๆ คนไหนวางแผนจะไปที่ Okayama มีอยากลองเส้นทางนี้ แนะนำอย่างยิ่งว่าลองไปอ่านแผนที่จาก ebook ในเว็บไซต์ก่อน>>https://okayama-kanko.net/sightseeing/en/pamphlet/index.html (เลือกอ่าน Kibitsuhiko and Ura) ที่ค่อนข้างละเอียดในระดับหนึ่งเลยทีเดียว แถมยังเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโมโมทาโร่ที่อยู่ในเส้นทางเล่านี้อีกด้วย (นี่ไม่ได้อ่านมาก่อน ยังฟินเลย เพราะบรรยากาศดีมาก ปั่นจักรยานกลางท้องทุ่ง ชมวิถีคนญี่ปุ่น ^^)
ปั่นออกจากย่านหน้าสถานี ไปลุยทุ่งนา ป่าเขา กันจ้า
ทางจักรยานเจ๋งมาก มีทั้งคนมาจ็อกกิ้ง แล้วก็ปั่นจักรยานออกกำลังกายกันเยอะแยะ
ป้ายก็ชัดเจน เป็นภาษาอังกฤษอีกต่างหาก (บนพื้นก็มีป้ายบอกทางด้วย)
เส้นทางการปั่นนี้ยาวประมาณ 20 กม. อยู่ในแถบ Kibiji ครอบคลุมพื้นที่สวนหนึ่งของเมือง Okayama และเมือง Soja ใช้เวลาการปั่นโดยรวมแบบชิลๆ ประมาณ 45 – 60 นาที ไม่รวมเวลาในการแวะเที่ยวชมจุดต่างๆ
เราแวะที่ศาลเจ้าคิบิทสึ (Kibitsu Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่บูชาเทพเจ้า Okibitsuhiko-no-mikoto เพราะมีไฮไลท์สำคัญที่เราจองไว้ คือการทำพิธีประมาณว่าปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย เพื่อรับแต่สิ่งดีๆ (เรียกว่าพิธี Nirikama) เนื่องจากที่นี่จัดว่าเป็น power spot ที่สำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของที่นี่ก็สวยมาก น่าเดินเล่นสุดๆ เสียดายเพียงว่าถ้ามาในฤดูใบไม้ผลิ คงจะได้เห็นดอกไม้งาม บานเต็มสวน ตลอดทางเดินที่สร้างจากไม้ทั้งหลัง สวยงาม และยาวถึง 400 เมตรนี้ เพราะนี่เป็นจุดชมดอกไม้ที่เป็นไฮไลท์ของศาลเจ้าแห่งนี้
10 นาทีผ่านไป ถึงจุดหมายแรก ศาลเจ้าคิบิทสึ (Kibitsu Shrine)
เตรียมตัวสะเดาะห์ ล้างทุกข์ ล้างโศก กันหน่อย … จะรับแต่สิ่งดีๆ ละนะ 😉
ทางเดินไม้เก่าแก่ ที่เป็นสัญลักษณ์ ของศาลเจ้าแห่งนี้
มาทำพิธี กันที่อาคารเฉพาะ เป็นเหมือนโรงครัว จบพิธีก็กินข้าวคั่วจากเตาไฟนี่แหล่ะ เพื่อเป็นสิริมงคล
จากนั้นเราก็ปั่นผ่านทุ่งข้าว ไปยังวัดบิทชู โคคุบุนจิ (Bitchu Kokubunji Temple) เป็นหนึ่งในวัดสาขา Kokubunji ที่มีอยู่ทั่วญี่ปุ่น สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิ Shomu ในปี 741 เพื่อคอยปกปักษ์รักษาผู้คนในภูมิภาคแห่งนี้ และในสมัยนาราได้มีการสร้างเจดีย์ 7 ชั้น สูงราว 50 เมตร แต่ก็ถูกเผาทำลายไปในภายหลัง ก่อนที่จะสร้างในปี 1821 เป็นเจดีย์ 5 ชั้นแทน ที่วัด Bitchu Kokubunji แห่งนี้ ขึ้นชื่อว่ามีทัศนียภาพของต้นไม้และทุ่งหญ้าที่สวยงาม
ไปกันต่อ …เจอเพื่อนร่วมทางตลอดเลยนะ ไม่ค่อยเหงา
วัดบิทชู โคคุบุนจิ (Bitchu Kokubunji Temple) ไกลหน่อย
แต่เส้นทางดี ขี่ง่าย วิวทุ่งนา บ้านเรือนแบบชนบท ก็ดี ไม่เสียดายที่ปั่นมา
จากวัด Bitchu Kokubunji เราปั่นจักรยานข้ามทุ่งมาเล็กน้อย แล้วข้ามถนนหลัก ไปยัง Sunroad Kibiji จุดแวะพักของนักท่องเที่ยว เพื่อแวะทานมื้อกลางวันที่ร้าน Motenashi no Yakata ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องแกงกะหรี่ (แต่แอบจัดเป็นโซบะแทนซะงั้น ฮ่าๆ) แถมวิวจากจุดแวะพักนี้ ยังมองเห็นวัด Bitchu Kokubunji ในมุมกว้างได้ดีทีเดียว
Kibiji Cycling Road
ที่ตั้ง : Rent-a-cycle Uedo, 554 Ichinomiya, Kita Ward, Okayama City
เปิดบริการ : 09.00 – 16.00 น. (ปิดบริการวันที่ 29 ธ.ค. – 3 ม.ค. และในวันที่ฝนตก)
ค่าเช่า : 1,000 เยน/วัน หรือ 400 เยน/2 ชม. (เพิ่มชม.ละ 200 เยน สูงสุดไม่เกิน 1,000 เยน)
การเดินทาง : นั่งรถไฟจากสถานี JR Okayama มาประมาณ 13 นาที ลงที่สถานี JR Bizen-ichinomiya แล้วเช่าจักรยานด้านหน้าสถานีได้เลย
เว็บไซต์ : http://www.okayama-kanko.net/sightseeing/
Kinojo Castle
ระหว่างที่เราขี่จักรยานเล่น ถ้าใครตาดี อาจจะแอบสังเกตเห็นกำแพงดินบนภูเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีป้อมกระจัดกระจายอยู่ มันอยู่สูงและไกลมาก จนคิดว่าตาฝาด เห็นต้นไม้บนภูเขาเป็นอย่างอื่นไปได้ แต่หลังจากนั้น เมื่อคืนจักรยานเสร็จ (เราไม่ได้คืนที่สถานีนะ เราคืนที่ศูนย์ฯ แห่งหนึ่งใกล้ๆ กับ Kibitsu Shrine) เรานั่งแท็กซี่ไปยังปราสาทคิโนโจ (Kinojo Castle) ชัดเลยจ้า!! ที่เราเห็นเมื่อกี้ มันคือป้อมต่างๆ ที่รายล้อมอยู่รอบปราสาท Kinojo นั่นเอง
เจ้าหน้าที่อาสาสมัคร ช่วยอธิบายในส่วนของพิพิธภัณฑ์ ก่อนออกเดินไปดูแนวกำแพงปราสาทกัน
มาที่จุดชมวิวกันก่อน
ปราสาท Kinojo ติดอันดับ Top 100 castles ของญี่ปุ่น และเป็นส่วนหนึ่งของตำนาน Ura ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับ Momotaro ด้วยเช่นเดียวกัน เป็นโครงสร้างปราสาทที่ประหลาดมาก เราไม่เคยเห็นปราสาทไหนในญี่ปุ่นเป็นอย่างนี้ คือตั้งอยู่บนยอดเขาสูงกว่า 400 เมตร เป็นสถาปัตยกรรมแบบเกาหลี และล้อมด้วยกำแพงดินตลอดทั้งแนวเขา (กินพื้นที่กว้างใหญ่มาก) ซึ่งปัจจุบันเหลือแค่เพียงกำแพงเท่านั้น ส่วนตัวปราสาทถูกทำลายลงหมดแล้ว
จากบนแนวกำแพงปราสาท โห…เห็นวิวเมือง ทุ่งนา ป่าเขา ไกลมาก
ที่เราสามารถมาชมกันได้ ก็แค่ป้อมหนึ่งในส่วนของแนวกำแพงดินของปราสาท
การเดินชมปราสาทแห่งนี้ จะมีทั้งส่วนที่เป็นจุดชมวิว และแนวกำแพงปราสาท บางจุดก็เดินสบาย บางจุดก็เดินลำบาก แนว hiking ถ้าปั่นจักรยานมา แล้วมาต่อที่นี่ กล้ามเนื้อขาก็คงได้ออกกำลังกายกันครบทุกภาคส่วนเหมือนเราแน่
มาทั้งที ไปเดินลัดเลาะ ชมแนวกำแพงดินของปราสาทกัน
Kinojo Castle
ที่ตั้ง : Okusaka, Soja-shi, Okayama
เปิดบริการ : 09.00 – 17.00 น.
ค่าเข้าชม : ฟรี
การเดินทาง : นั่งแท็กซี่ประมาณ 20 นาที จากสถานี JR Soja
เว็บไซต์ : https://www.okayama-japan.jp/en/spot/929
Shiraishi Island
หลังจากกลับลงมาจากภูเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาท Kinojo เราก็ไปขึ้นรถไฟที่สถานี JR Soja เพื่อมุ่งหน้าสู่สถานี Kasaoka แล้วต่อเรือ Sanyo Kisen Ferry จากท่าเรือ Kasaoka เพื่อมุ่งหน้าสู่ เกาะ Shiraishi กัน
Shiraishi Island (Shiraishi-jima) เป็นเกาะใหญ่อันดับสองในหมู่เกาะ Kasaoka ของจังหวัด Okayama และหากใครได้มาเยือน แล้วมีเวลาเดินเที่ยวเล่น ไม่ไกลจากท่าเรือนัก บนเกาะแห่งนี้จะมีสถูปสีขาว สร้างขึ้นในปี 1970 โดยพระสงฆ์สายวัดปากน้ำของไทย ภายในสถูป ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ด้วย
จากหน้าสถานี เดินไปท่าเรือกัน
ทางลัดไปท่าเรือ ลอดอุโมงค์ไปจ้า
เกาะต่างๆ บริเวณนี้ ที่มีเรือไปถึงทั้งนั้นเลยนะ
เหตุที่ต้องมาที่เกาะแบบที่น่าจะได้เข้าถึงคนท้องถิ่นญี่ปุ่นจริงๆ นี้ ก็เพื่อที่จะลองพักในที่พักรูปแบบ Guest House กันบ้าง โดยเราเลือกพักกันที่ GUEST HOUSE SHIRAISHI ซึ่ง Guest House นั้น เป็นที่พักในญี่ปุ่นประเภทที่จองยากอยู่สักหน่อย เพราะภาษาญี่ปุ่นมาเต็มมาก \(><)/
ที่พักของเรา ^^
อาหารเย็นอร่อยนะ เป็นตามสั่ง มีโต๊ะฝรั่งที่พักที่อื่นมากินด้วยล่ะ มีเพื่อน ^^
แต่พอได้มาแล้ว ก็บรรยากาศดีนะ ได้คลุกคลีกับคนญี่ปุ่น ได้เจอแขกที่เป็นฝรั่งด้วย แสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวต่างชาติก็สนใจที่จะมาท่องเที่ยวญี่ปุ่น โดยเลือกที่พักสไตล์นี้เหมือนกัน ซึ่งส่วนตัวแล้วชอบที่ได้มาพักแบบนี้นะ
ยามเช้าหน้าที่พัก
อาหารเช้าของเรา มีข้าวและซุปเติมไม่อั้น (ไปตักเอาเอง)
คุณลุงเจ้าของ guesthouse เตรียมตัวไปส่งที่ท่าเรือ
ห้องจำหน่ายตั๋ว มีข้อมูลเที่ยวเกาะ แนะนำด้วยล่ะ
Shiraishi Island
ที่ตั้ง : Shiraishijima Island, Kasaoka City, Okayama
การเดินทาง : นั่ง Sanyo Kisen Ferry จากท่าเรือ Kasaoka ไปประมาณ 25 นาที
เว็บไซต์ : https://www.kasaoka-kankou.jp/en/island/shiraishijima/
จองที่พัก : Guest House Shiratishi (ห้องพักเริ่มต้นที่ 3,000 เยน/คืน) โทร. 090-8086-8371 (ภาษาญี่ปุ่น) / Minshuku Sanchan Guesthouse (ห้องพักเริ่มต้นที่ 6,000 เยน/คืน) โทร. 0865-68-3169 (ภาษาญี่ปุ่น) ทั้งสองแห่งตั้งอยู่ติดกัน และทริปนี้เราใช้บริการทั้งสองแห่ง ^^
Manabe Island (เกาะแมว)
ในตอนเช้า หลังรับประทานอาหารเสร็จ คุณลุงเจ้าของ Guest House ก็มาส่งเราที่ท่าเรือ (เช่นเดียวกับตอนที่มารับเราเมื่อคืนก่อน) จากนั้นเราก็ต่อเรือจากเกาะ Shiraishi ไปยังเกาะ Manabe (ท่าเรือ Honura) ซึ่งที่นี่เคยลงเว็บไซต์ของฝรั่งจนโด่งดัง ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก รวมถึงชาวญี่ปุ่นให้มาเยือนกันอย่างมากมาย
ห้องจำหน่ายตั๋วเรือที่ Shiraishi
จากเกาะที่เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ มีบ้านเรือนบางส่วนบางถูกทิ้งร้าง ปัจจุบันที่โรงเรียนก็แทบไม่มีนักเรียนแล้ว (ห้องละคน สองคน เขาก็สอนนะ คนละระดับชั้นอีกต่างหาก) … พอได้ออกสื่อ ก็เลยกลายเป็น tourist spot ของทาสแมวไปซะเลย จนทำให้เกาะ Manabe ได้รับฉายาว่า “เกาะแมว” ไปซะอย่างนั้น ก็เนื่องจากเว็บไซต์ต่างชาตินั้น ได้ลงเรื่องราวการมาเยือนเกาะ Manabe แห่งนี้ แล้วก็ได้เล่นกับแมว ได้ให้อาหารแมว แล้วก็ได้พบเจอแมวอยู่ทั่วไปในเกาะนั่นเอง
มีเหมียวมารับถึงท่าเรือ
ขึ้นเขาไปชมวิวกันนิดนุง
ตั้งแต่นั้นมา… เกาะ Manabe ก็กลายเป็นสถานที่ถ่ายทำหนัง ละคร และรายการทีวีหลายรายการเลยทีเดียว
ออกมาทักทายกันตลอดทางเลย
โรงเรียนประถมเก่าแก่ ที่ดูข้างนอกเหมือนจะไม่มีนักเรียน แต่ด้านในมีนะ ถึงจะเก่าก็สะอาดสะอ้าน
Manabe Island (เกาะแมว)
ที่ตั้ง : Manabe-shima Island, Kasaoka City, Okayama
การเดินทาง : นั่ง Sanyo Kisen Ferry จากท่าเรือ Kasaoka ไปได้
เว็บไซต์ : https://www.kasaoka-kankou.jp/en/island/manabeshima/
====================
ในช่วงเที่ยงๆ เราก็นั่งเรือ Sanyo Kisen Ferry ย้อนกลับไปยังท่าเรือ Kasaoka …กินอาหารกลางวันกันแถวท่าเรือ แล้วใช้ JR Kansai Wide Area Pass นั่งรถไฟต่อไปยังสถานี Kurashiki ซึ่งมีอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากๆ ในจังหวัด Okayama ที่ไม่ควรพลาดไปเที่ยวชมกัน…
เจอกันที่ Kurashiki ในตอนหน้า (^^)/
และแล้ว ก็ผ่านมาแล้วครึ่งทางแล้วในการเที่ยวจังหวัด Okayama ของทริปนี้ … แต่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกหลายจุด
มาติดตามกันต่อในตอนหน้านะ (^^)/
เรื่องแนะนำ :
– เที่ยวโอคายาม่า (Okayama) และเฮียวโงะ (Hyogo) สุดคุ้มด้วย JR Kansai Wide Area Pass (3)
– เที่ยวโอคายาม่า (Okayama) และเฮียวโงะ (Hyogo) สุดคุ้มด้วย JR Kansai Wide Area Pass (1)
– รีวิวเที่ยว Hyogo ..สองวันก็เอาอยู่ (2) : สุดยอดวิว ออนเซ็น และปราสาท
– รีวิวเที่ยว Hyogo สองวันก็เอาอยู่ (1) : เนื้อโกเบ เหล้า และภูเขา Rokko
– เที่ยวจังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo)
#Kansai WIDE Area Pass #Okayama #Hyogo