私物の在処(しぶつのありか)
Shibutsu no arika
นิทรรศการรวบรวมข้าวของเครื่องใช้พิเศษที่แสนธรรมดา
อ่ะ งงใน งง อีกที หลังจากที่เราได้เห็นโปสเตอร์โปรโมท งานนิทรรศการอันนี้ ก็นั่งดูอยู่พักใหญ่ๆ นี่มันงานอะไรกันนะ จนกระทั่งต้องตามเข้าไปหาอ่านในเว็ปไซต์อีกที ถึงได้เข้าใจ ว่าโปสเตอร์งานนี้ มันคือตู้ปาจิงโกะ นั่นเอง
จริงๆ แล้วในนิทรรศการนี้ ได้รวบรวมเอาของที่แสนจะธรรมดา 100 ชิ้น มาจัดนิทรรศการ และไอ้เจ้าของธรรมดา 100 ชิ้นนี้ในสายตาเราๆ ก็ดูปกติ แต่ทั้งหมดมันเป็นของชิ้นพิเศษ มันมีความหมายพิเศษ หรือสิ่งที่พิเศษบางอย่างในสายตาของผู้เป็นเจ้าของข้าวของเหล่านี้ นี่อาจจะเป็นเหตุผลให้ผู้ออกแบบโปสเตอร์ เลือกเอาตู้ปาจิงโกะมาสื่อสารในงาน เพื่อพยายามจะบอกว่า เราไม่มีทางรู้ว่าระหว่างทางของชีวิตเรานั้น เราจะเจอเรื่องราวอะไรบ้าง แล้วเราจะเจอมันเมื่อไหร่ เรื่องที่พบเจอมันอาจจะพิเศษ หรืออาจจะธรรมดาก็ได้ ดังนั้นไอ้ความไม่แน่นอนเหล่านี้ จึงถูกเปรียบเสมือนลูกปาจิงโกะที่เด้งกระดอนไปเรื่อยๆ จากการกระทำต่างๆ ด้วยตัวของเรา และแน่นอนว่าในเกมชีวิตเกมหนึ่ง เราจะต้องจนเล่นมันกว่าจะถึงจุดเปลี่ยนไม่เจอแจ๊คพ็อต ก็อาจจะจบเกมลงไปนั่นเอง
นิทรรศการข้าวของเครื่องใช้พิเศษที่แสนธรรมดางานนี้ จึงต้องการนำพาเราไปเยี่ยมชมเรื่องเราวที่แสนพิเศษ เรื่องราวเรื่องเล่าถึงสิ่งของที่แสนจะธรรมดาอย่างนั้น อ่านมาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนเองก็ต่างมีของพิเศษ ที่แสนจะธรรมดาอยู่กับตัวเช่นกันใช่ไหม ถ้านึกถึงความรู้สึกนั้นออกแล้ว เรามาลองแลกเปลี่ยนเรื่องเล่ากับเหล่าของธรรมดาเหล่านั้นกันเถอะ
駅でもらった看板 (ป้ายสถานี 万座・鹿沢口駅 ที่ทำจากไม้ในปีค.ศ. 1943)
เจ้าป้ายนี้คุณเจ้าของเล่าว่า ในสมัยตอนที่เธอเป็นเด็กน้อย ได้เดินทางไปเล่นสกี ที่สกีรีสอรท์แห่งหนึ่ง แล้วเกิดอุบัติเหตุทำให้ขาหัก ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ด้วยการนำเอาป้ายไม้ 2 อัน แบบนี้มาดามขาที่หักเอาไว้ และส่งให้เธอขึ้นรถไฟไปถึงโรงพยาบาลในตัวเมือง บนป้าย มีอักษรที่เขียนเอาไว้ว่า “กรุณาส่งคืน” (คงหมายถึง ในสถานการณ์ปกติหากใครพบเห็นว่าป้ายนี้มันไปหล่นอยู่ที่อื่น ให้นำส่งคืนเจ้าหน้าที่ อะไรแบบนั้นนั่นแหละ)
แต่ตอนที่เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลให้เธอ กลับบอกเธอว่า ไม่ต้องเอามาคืนนะ ก็เลยทำให้ป้ายนี้กลายเป็นเรื่องประทับใจเธอจนถึงปัจจุบัน คุณเจ้าของป้ายอัพเดตให้ฟังว่าตอนนี้ป้ายเหลืออันเดียวแล้ว เพราะอีกอันเผลอเอาไปซ่อมบ้านไปล่ะ
(หมายเหตุ สถานีนี้ชื่อว่า Manza-Kazawaguchi Station อยู่ในพื้นที่จังหวัดกุนมะ )
自作冊子 (หนังสือทำมือ) บันทึกการแข่งขันม้ากระโดด ในปี ค.ศ.1950
คุณเจ้าของหนังสือทำมือเล่มนี้เล่าว่า เมื่อสมัยที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้มีโอกาสเข้าร่วมชมการแข่งขันยิมนาสติกประจำจังหวัด ซึ่งในยุคนั้นการได้มีโอกาสเข้าชมการแข่งขันยิมนาสติกค่อนข้างยาก มันจึงเป็นเรื่องที่พิเศษสุดๆ ในระหว่างที่อยู่ในช่วงพัก ก็ได้วาดรูปบันทึกแทนการถ่ายภาพ บันทึกผลรายการแข่งขันขึ้น จากภาพจะเป็นรูปหน้าปก ที่ถูกวาดขึ้นง่ายๆ มีการระบุว่าผู้กระโดดข้ามเจ้าม้ากระโดดนั้น ใช้ท่ากระโดดยอดนิยม อย่างท่า Yamashita Jump และได้คะแนนไปเท่าไหร่ ใครทำอะไรบ้าง และเมื่อจบการแข่งขัน หนังสือทำมือเล่มนี้ ก็ได้ถูกจัดวางเอาไว้ที่หลังห้องเรียน เพื่อให้เพื่อนๆ ที่ไม่ได้เข้าชมการแข่งขัน ได้อ่านอีกด้วยนะ
(หมายเหตุ เจ้าของบันทึกได้รับความมั่นใจ และแรงบันดาลใจจากการทำหนังสือเล่มนี้ ในช่วงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จึงเข้าฝึกกีฬายิมนาสติกเพื่อตั้งใจจะไปแข่งขันกีฬายิมนาสติกประจำจังหวัดจนถึงชั้นมัธยมปลาย )
① ともゆきくん人形 ② 母の肉声テープ (ตุ๊กตาโทโมยูกิ และเทปเสียงของแม่)
เจ้าของเล่าเรื่องตุ๊กตาไว้ว่า ตุ๊กตาตัวนี้ทำด้วยตัวเอง และเป็นงานแฮนด์เมดทั้งหมด รวมถึงเสื้อผ้าตุ๊กตาด้วย โดยเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ มีโครงสร้างเป็นแกนลวด จึงสามารถขยับแขนขาได้เล็กน้อย จุดประสงค์ของการทำตุ๊กตาตัวนี้ตั้งใจทำเป็นของขวัญให้กับคุณแฟน ในช่วงที่กำลังคบหากันอยู่ จวบจนปัจจุบันทั้งคู่ได้แต่งงานกันแล้ว และเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ ยังคงได้รับการดูแลอยู่ และถูกจัดแสดงไว้ในตู้โชว์ที่บ้านของเธอ ทุกครั้งที่เห็นมันเป็นความภูมิใจเล็กๆ และมันยังเป็นของขวัญที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกอีกด้วย
ส่วนเทปบันทึกเสียงของแม่ แม่ของเจ้าของเสียงบันทึกนี้ ได้เสียชีวิตลงด้วยอาการเส้นเลือดในสมอง ตอนอายุ 42 ปี เทปบันทึกเสียงนี้ ได้ถูกบันทึกด้วยเครื่องบันทึกเสียงที่ยืมมาจากร้านทำผมใกล้ๆ บ้าน เนื้อหาในเทป เป็นการบันทึกเสียงที่คุณแม่ได้เล่นเปียโน ในเพลงที่เธอชื่นชอบ (เพลงนั้นมีชื่อว่า 瞼の母) และเสียงบันทึกอื่นๆ ในช่วงก่อนที่เธอจะเสียชีวิต ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถหาเครื่องเล่นเทปม้วนนี้ได้อีกแล้ว แต่มันไม่สำคัญเลย เพราะเสียงเพลงของคุณแม่ จะยังคงได้ยินอยู่เสมอในความทรงจำ
自作漫画雑誌《まさこコミックス》(หนังสือการ์ตูนทำมือ มาซาโกะ คอมมิก ในปีค.ศ.1974)
หนังสือการ์ตูนทำมือ มาซาโกะ คอมมิก ถูกวาดขึ้นเมื่อสมัยที่เจ้าของหนังสือ ยังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และมีความตั้งใจที่อยากจะเป็นนักเขียนการ์ตูนให้จงได้ เดิมทีผู้เขียน หรือเจ้าของ อยากจะวาด มาซาโกะ คอมมิกออกมาทุกเดือน แต่กลายเป็นว่า สุดท้ายก็มี มาซาโกะ คอมมิกออกมาเพียงแค่ฉบับเดียว เนื่องจากแผ่นสกรีนโทน ในสมัยนั้นแพงมาก ผู้วาดยังเด็กอยู่ทำให้ซื้อไม่ไหว สุดท้ายก็เลิกเขียนไป และมาซาโกะคอมมิกฉบับเดียวนี้ ก็ได้ถูกเก็บเข้าลิ้นชักและก็ไม่สามารถเปิดออกมาอ่านได้อีก เพราะคุณเจ้าของดันทำกุญแจลิ้นชักหาย จนกระทั่ง 30 ปีต่อมา จึงได้มีการรื้อลิ้นชักออกมาใหม่ และหลานชายของเจ้าของหนังสือเล่มนี้ได้ค้นพบ มาซาโกะ คอมมิก อีกครั้ง
(หมายเหตุ แผ่นสกรีนโทน คือแผ่นที่ใช้สร้างเงา และฉากหลังให้กับหนังสือการ์ตูนต่างๆ สกรีนโทนมีหลายแบบหลายลายมาก การวาดการ์ตูน 1 ตอน จะต้องใช้แผ่นสกรีนโทนเยอะมากเช่นกัน)
祖母のパノラマ写真 (ภาพพาโนราม่าของคุณยาย ในปีค.ศ. 1976)
เมื่อเสร็จสิ้นงานศพของคุณยาย ฉันได้รับของชิ้นหนึ่ง นั่นคือภาพถ่ายที่ระลึก ที่คุณยายเก็บเอาไว้ มันเป็นภาพถ่าย จากการเดินทางท่องเที่ยวของคุณยายกับเพื่อนๆ และหนึ่งในเพื่อนของคุณยาย ก็เป็นคุณตาที่ชอบการถ่ายภาพ และน่าจะเป็นผู้ที่ถ่ายภาพชุดนี้ ภาพพาโนราม่าของคุณยายชุดนี้ เป็นภาพที่ถ่ายแยกกันมาเป็นภาพๆ ก่อน แล้วจึงมาตัดต่อด้วยตัวเอง มีการตัดแปะ เพื่อให้ได้ภาพที่มีสมาชิกครบทุกคน ด้วยความที่ภาพมีความยาวมาก เกินกว่าที่จะพับใส่กล่อง เพื่อนบ้านของคุณยายเล่าว่ามันถูกแขวนเอาไว้ในห้องนั่งเล่น ที่บ้านของคุณยายนั่นเอง
謎の個人写真 (ภาพถ่ายดาราลึกลับที่ประเทศไทย ในปีค.ศ.1978)
ตอนที่เจ้าของนั้นเดินทางมาเที่ยวที่ประเทศไทย ได้ไปเดินเที่ยวตลาดกลางคืน แล้วก็ไปเห็นภาพดารา ถูกใส่ไว้ในกรอบไม้เก่าๆ บนรูปมีตัวหนังสือที่ดูเหมือนจะเป็นลายเซ็นอยู่บนนั้น หลังจากที่คิดแล้วคิดอีก จึงได้ขอซื้อภาพนี้จากคนขาย ถึงแม้ว่าคนขาย จะไม่ขายให้ในการเจรจาครั้งแรก แต่ด้วยความอยากได้ จึงรบเร้าขอซื้อมาจนได้ ในราคา 450 เยน (ประมาณ 150 บาท ในสมัยนั้น) เมื่อถามถึงคนในภาพถ่าย คนขายบอกกับเขาว่า คุณไม่รู้จักพวกเขา คุณไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร และอยู่ที่ไหน แต่คุณสนใจและอยากได้รูปนี้ มันก็ดูน่าลึกลับดีใช่ไหมล่ะจนถึงทุกวันนี้ เจ้าของภาพก็ยังไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นใครเลยนะ…
(หมายเหตุ เข้าใจว่าคนขายของเก่า ของมือสอง ในตอนนั้นคงจะขายกรอบรูปเฉยๆ แต่เอาปกหนังสือละครมาใส่แทนรูป คนญี่ปุ่นมาเที่ยวก็พาลนึกว่าภาพถ่ายพร้อมลายเซ็นสินะ )
親から送られてきた新聞記事の切り抜き (ภาพข่าวบนหนังสือพิมพ์ของครอบครัว ในปีค.ศ. 1983)
ในชนบทหนังสือพิมพ์จะถูกใช้ในการห่อ และใช้แพ็คเพื่อถนอมอาหาร เช่น ห่อผักและผลไม้ ซึ่งในปีค.ศ.1983 มีภาพข่าวการจับหมีสีน้ำตาล น้ำหนัก 400 กก. ได้ที่ฮอกไกโด คุณพ่อคุณแม่ของเจ้าของ ก็มักจะเลือกตัดข่าว บนหนังสือพิมพ์แล้วส่งมาให้ลูกดู ถึงแม้ว่าในยุคปัจจุบันจะมีอินเตอร์เน็ต และมีช่องทางการนำเสนอข่าวสารจากชนบทแล้วนั้น แต่ครอบครัวของเจ้าของสะสมนี้ ก็ยังชอบตัดข่าวส่งมาให้อยู่ดี และบางข่าวที่ได้นั้นก็น่าแปลกใจจริงๆ
① タイムカプセル ② チャーム (แคปซูลเวลา และกาน้ำชาจิ๋ว ในปี 1984)
เจ้าของเล่าให้เราฟังว่า เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษา เขาและเพื่อนอีก 4-5 คน มีการเขียนเรื่องที่ชอบเอาไว้ในขวด และทำเป็นแคปซูลเวลาไว้ โดยให้สัญญากันว่าจะเปิดในวันหนึ่ง เมื่อตกลงกันได้ว่าจะเปิดกันเมื่อไหร่ และผู้ที่เป็นเจ้าของ เลือกที่จะเก็บไว้เองโดยที่จะไม่เอาไปฝัง เหมือนแคปซูลเวลาที่อื่น เพราะกลัวเดี๋ยวมีใครมาเจอเข้า ตอนนี้เลยกำหนดสัญญาที่จะเปิดแล้ว แต่เจ้าของเองก็ไม่สามารถเปิดเองได้ หรือเอาไปทิ้งได้ เพราะตอนนี้ไม่สามารถติดต่อเพื่อนๆ ได้เลย
“อนึ่ง ถ้าคุณเพื่อนได้มาดูนิทรรศการนี้แล้วจำได้ โปรดติดต่อฉันเพื่อมาเปิดมันพร้อมกัน” เจ้าของแคปซูลเวลาทิ้งท้ายเอาไว้แบบนี้
ส่วนเจ้ากาน้ำชาจิ๋วที่มีลายช่อดอกไม้นี้ ブーケプルズ (Bouquet pulls เจ้าช่อดอกไม้นี้ เป็นช่อดอกไม้เจ้าสาวที่ผูกริบบิ้นเอาไว้ ใครที่อยากจะเป็นเจ้าสาวคนต่อไป ต้องมาเลือกริ้บบิ้น ซึ่งมันจะมีริบบิ้นแค่เส้นเดียวที่ผูกกับช่อดอกไม้เอาไว้ ) ความทรงจำที่มีกับกาน้ำชาจิ๋วอันนี้ คือน้องสาวของผู้เป็นเจ้าของ เป็นคนให้เอาไว้ เพราะว่าน้องสาวได้แต่งงานก่อน จึงมอบเจ้ากาน้ำชาจิ๋วที่มีลายช่อดอกไม้ แทนใจว่าพี่สาวจะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไป ในช่วงเวลานั้น มันมีหลากหลายความรู้สึกทั้งเศร้า ทั้งเหงา ทั้งดีใจ ทั้งเจ็บปวด ยิ่งได้เห็นกาน้ำชาจิ๋วที่น้องสาวให้ก็ยิ่งคิดถึง
① ブタのぬいぐるみ+ひよこのおもちゃ ②器 (ตุ๊กตาหมู ลูกเจี๊ยบ และชาม ในปีค.ศ. 1991)
เจ้าของได้รับตุ๊กตาหมู ตอนที่มีอายุครบ 3 ขวบ และตั้งชื่อมันว่า “บูบูตัน” เจ้าของรักตุ๊กตาตัวนี้มาก แต่ไม่นานตุ๊กตาก็เริ่มขาด บิดเบี้ยว เปลี่ยนทรง และเปื่อย ตอนที่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก็เริ่มรู้ว่าคุณยายซ่อมตุ๊กตา เจ้าบูบูตันให้ เพียงแค่ใช้ผ้าคนละสี และคนละแบบ ซึ่งผ้าที่ใช้ซ่อมก็เป็นผ้าที่เป็นชุดใส่จริงของคุณยายเอง ยิ่งทำให้รู้สึกผูกพันกับตุ๊กตาตัวนี้มาก แต่บางทีก็รู้สึกเหงาเพราะคิดถึงคุณยาย ส่วนเจ้าเป็ด คุณยายก็ซื้อให้ตอนไปที่คิโนซากิ ออนเซ็น ส่วนชามใบเล็กใบนั้น ถูกใช้มาตั้งแต่ 3 ขวบ ทุกครั้งที่กินอาหารฉันจะต้องใช้ชามนี้ จนไม่นานมานี้ ในขณะที่ล้างชามอยู่ ชามมันได้แตกหักครึ่งไปเลย แต่แทนที่จะทิ้งไป ก็เลือกที่จะเก็บเอาไว้ เพราะน่าจะคิดถึงมันแน่ๆ
นิทรรศการ รวบรวมข้าวของเครื่องใช้พิเศษ ที่แสนธรรมดา ที่ดูภาพรวมภายนอกแล้วก็ดูช่างธรรมดา ธรรมดาจนถึงขั้นที่ว่า สามารถมองข้ามกันได้ง่ายๆ หลายคนอาจจะมองว่า สิ่งของบางชิ้น และเรื่องเล่าบางเรื่องนั้นความหมายของมัน ช่างเบาบางเหลือเกิน แต่ถ้าถามย้อนกลับไป ว่าตัวของเราเอง นั้นมีของชิ้นพิเศษที่แสนจะธรรมดาบ้างหรือไม่ ผมเชื่อว่าอย่างน้อยทุกคนต้องมีมากกว่า 1 ชิ้นแน่ๆ บ้างตัดใจได้ ทิ้งของที่มีค่ากับความทรงจำไป แล้วเลือกที่จะเก็บเอาเรื่องราวดีๆ ไว้กับตัวของเราแทน บ้างก็เก็บข้าวของเหล่านั้นเอาไว้อย่างดี และพร้อมที่จะเล่าเรื่องราวเหล่านั้นอย่างมีความสุขเสมอ และก็มีไม่น้อย ที่ไม่อยากจะเก็บ แต่ก็ทิ้งไม่ลงก็มีให้เห็นเยอะเหมือนกัน ดังนั้นงานนิทรรศการนี้ จัดขึ้นเพื่อให้ทุกๆ คนได้คิดถึงคุณค่าของสิ่งของที่แสนจะธรรมดา แต่ก็พิเศษมากๆ เช่นกัน จะเลือกทิ้งก็แล้วแต่คุณ จะเลือกเก็บก็แล้วแต่คุณ แต่การเก็บเอาเรื่องราวความทรงจำที่ดีแบบนี้ มันไม่ต้องเก็บไว้ในหัวสมองหรอก มันเก็บไว้ที่หัวใจต่างหาก
私物の在処(しぶつのありか)
Shibutsu no arika
นิทรรศการรวบรวมข้าวของเครื่องใช้พิเศษที่แสนธรรมดา
- จัดขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 23 พย. 2020 จนถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2021 เวลา 10.00 -17.00 น. (ปิดบริการวันจันทร์ และวันอังคาร) ที่ Tomonotsu Museum (鞆の津ミュージアム) จ.ฮิโรชิมะ (มีการขยายเวลาจากเดิมที่จะจัดแสดงเพียงแค่วันที่ 7 มีนาคม 2021 )
- พิกัดสถานที่ https://goo.gl/maps
- ข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://abtm.jp
ทักทายพูดคุยกับทีมงานเจแปนโบรชัวร์ได้ที่ www.facebook.com/JapanBrochure/
เรื่องแนะนำ :
– “Hikari Kokeshi” ตุ๊กตาโคเคชิที่ช่วยส่องสว่างท่ามกลางภัยพิบัติ
– มารยาทเกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่นในยุค New Normal
– Aomori Attera! การ์ดเกมจับคู่รูปภาพที่จะทำให้เด็กๆ ภาคภูมิใจในบ้านเกิดของตัวเอง
– เที่ยวแบบแมวๆ ที่ฟุคุอิ กับเกาะแมวปริศนา
– Denimat สนามเด็กเล่นของสัตว์เลี้ยงแสนรัก
#Shibutsu no arika นิทรรศการรวบรวมข้าวของเครื่องใช้พิเศษที่แสนธรรมดา