ทุ่งดอกทานตะวันแห่งฤดูร้อน ที่เมืองคิตาคะมิ จังหวัดอิวาเตะนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวมาเดินชมและถ่ายรูปฟรี แต่ทำไมถึงมีรายได้มากถึง 9 แสนกว่าเยน หรือประมาณ 3 แสนบาทเข้าสู่เมือง
เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มี 4 ฤดูกาลที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด จึงทำให้ในทุกๆ เดือนจะมีทุ่งดอกไม้สวยๆ ให้เราได้ไปเดินเล่นไปถ่ายรูปกัน
ทุ่งที่เราจะมาพูดถึงวันนี้คือทุ่งดอกทานตะวันแห่งฤดูร้อน ที่เมืองคิตาคะมิ จังหวัดอิวาเตะที่เราอาศัยอยู่ โดยปีนี้เป็นการปลูกครั้งที่ 2 ซึ่งเราคนไทยอาจจะไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับทุ่งดอกทานตะวันเมื่อเทียบกับทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ทุ่งดอกป็อปปี้ เพราะบ้านเราเองก็สามารถเห็นได้ในหลายๆ จังหวัด แต่วันนี้ตั้งใจจะมาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับโปรเจ็คการทำทุ่งดอกทานตะวันที่ให้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างเมืองมาเดินชมและถ่ายรูปฟรี แต่ทำไมถึงมีรายได้มากถึง 9 แสนกว่าเยน หรือประมาณ 3 แสนบาทเข้าสู่เมือง
จุดเริ่มต้นของโปรเจ็ค
เริ่มจากการที่รัฐบาลญี่ปุ่นโดยเฉพาะภาครัฐของเมืองคิตาคะมิ สนับสนุนให้เกษตรกรออกไอเดียในการสร้างรายได้ให้กับแหล่งชุมชนนั้นๆ ซึ่งโปรเจ็คที่ได้รับการเลือกให้นำมาทำจริง เป็นไอเดียของคุณซาโตว ทาคาชิ อายุ 42 ปี เป็นโปรเจ็คที่ใช้พื้นที่ว่าง 12.5 ไร่ที่อยู่ใกล้กับป่าไม้ ในเขตยูดะ มาปลูกหรือทำอะไรสักอย่างให้เกิดประโยชน์ โดยที่เขาพยายามจะมองการเกษตรในอีกด้านหนึ่ง นั่นคือการที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ไปพร้อมกับการคำนึงถึงผลประโยชน์ (รายได้) ของชุมชนนั้นๆ
ทั้งนี้โปรเจ็คการปลูกดอกทานตะวันจำนวน 1 แสนต้นนั้นเดิมที่เริ่มจากนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยโตเกียว คณะเกษตรศาสตร์เป็นคนเสนอมา และคุณทาคาชิซึ่งจบมาจากคณะเดียวกันก็มาสานต่อให้เป็นจริง
ปัญหาของเกษตรกร
ในปัจจุบันปัญหาของเกษตรกรญี่ปุ่นส่วนใหญ่เกิดจากการที่รุ่นก่อนๆ อายุเพิ่มขึ้นทำให้ไม่มีแรงในการทำเกษตรอีกต่อไป แต่ในทางกลับกันรุ่นลูกหลานน้อยคนมากที่คิดจะทำการเกษตรต่อ เพราะส่วนใหญ่อยากออกไปอยู่ตามเมืองใหญ่ ไปเป็นลูกจ้าง พนักงานออฟฟิตมากกว่า
ทำให้นอกจากจำนวนเกษตรกรลดลงแล้ว ชุมชนการเกษตรก็น้อยลงกลายเป็นชุมชนร้าง ร้านค้าที่ขายของเครื่องใช้ กับข้าวให้กับชุมชนนั้นๆ ก็ต้องปิดกิจการไป ซึ่งคุณทาคาชิเองทำเกษตรมา 20 ปีและยังคงอยากจะทำต่อไป จึงอยากให้ชุมชนที่เคยตายไปแล้วฟื้นกลับขึ้นมา ดูมีชีวิตสดใส อีกครั้ง โดยที่ไม่ได้พึ่งเพียงภาครัฐเท่านั้นแต่อยากปลุกให้ชาวเกษตรกรมาร่วมคิดไอเดียต่างๆ และแก้ไขปัญหานี้โดยใช้วิถีเกษตรกรรมรูปแบบใหม่ๆ
เฟืองเล็กๆ แห่งความฝัน
เฟืองแรกในการขับเคลื่อนชุมชนเกษตรอีกครั้งคือโปรเจ็คทุ่งทานตะวันนี้ โดยที่เป็นการเรียกคนในเมืองเดียวกันหรือคนต่างเมืองมาเยือนเมืองนี้ในช่วงฤดูร้อนที่โดยปรกติไม่ได้มีจุดท่องเที่ยวหรือมีอะไรดึงดูดที่โดดเด่นมากนัก เมื่อผู้คนมาชมทุ่งดอกไม้แน่นอนว่าก็ต้องแวะทานข้าว แวะร้านค้าในเมืองนี้ซึ่งก็เป็นการกระจายรายได้ให้กับชุมชนอย่างหนึ่ง จากนั้นเมื่อหมดฤดูกาลในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีก็จะนำน้ำมันที่สกัดจากเมล็ดทานตะวัน (Sunflower seed oil) มาขายทั้งในร้านอาหาร ร้านค้าตามชุมชน และเป็นของขวัญตอบแทนสำหรับผู้ที่เสียภาษีบ้านเกิดให้กับเมืองคิตาคะมินั่นเองค่ะ
น้ำมันทานตะวันขายได้จริงหรือ
ในตอนแรกพวกเขาก็คิดว่า แล้วน้ำมันทานตะวันที่สกัดมาจะมีคนซื้อจริงๆ หรือไม่ เพราะหากเทียบกับราคาน้ำมันพืชอื่นๆ ก็ยอมรับว่ามีราคาค่อนข้างสูงกว่า และบ้านทั่วๆ ไปคงไม่ได้นิยมใช้ขนาดนั้น แต่คุณทาคาชิเองก็กลับมองว่าเราจะต้องขอแรงช่วยจากร้านค้า ร้านอาหาร จุดตั้งแคมป์ปิ้ง ลานสกีและผู้คนในชุมชนอีกมากมายเพื่อที่จะเป็นจุดกระจายข่าวนี้ เพราะหากเกษตรกรทำเพียงฝ่ายเดียวจะไม่เกิดผลเป็นแน่ จะต้องมีการทำงานเป็นทีม เหมือนการเล่นกีฬาที่แต่ละคนก็จะมีหน้าที่ของแต่ละตำแหน่ง เพื่อบูรณาการให้โปรเจ็คนี้บรรลุเป้าหมายได้
รายได้ของโปรเจ็คนี้
ทั้งนี้มีการคำนวณไว้ว่า การปลูกดอกทานตะวัน 1 แสนต้นนี้ จะสกัดน้ำมันออกมาได้ทั้งหมด 123.20 กิโลกรัม เอามาบรรจุลงขวด ขวดละ 140 กรัมได้ 880 ขวด โดยจะจำหน่ายขวดละ 1,780เยน ทำให้มีรายได้รวม 1,566,440 เยน (เกือบ 5 แสนกว่าบาท) จากรายได้ดังกล่าวก็จะต้องนำส่วนหนึ่งมาหักกับต้นทุนค่าเมล็ด ค่าแรงงานปลูก ค่าเครื่องจักร ค่าแปรรูปน้ำมัน รวมทั้งหมด 620,000 เยน (เกือบ 2 แสนบาท) จึงทำให้รายได้หรือส่วนของกำไรที่เข้าชุมชนในโปรเจ็คนี้หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว จะอยู่ที่ 946,400 เยน (เกือบ 3 แสนบาท) ซึ่งจะเป็นส่วนที่นำไปพัฒนาชุมชนเมืองนี้หรือเป็นส่วนหนึ่งของเงินทุนในการสร้างโปรเจ็คใหม่ๆ อีกต่อไป
ผลตอบรับจากปีแรก
จริงๆ แล้วนี่เป็นครั้งแรกของคุณทาคาชิที่จะปลูกดอกทานตะวัน ซึ่งการปลูกทานตะวันนี้ถือว่าไม่ได้ต่างไปจากการปลูกถั่วเหลืองที่ในชุมชนนั้นปลูกอยู่แล้วสักเท่าไหร่ ทำให้ไม่ต้องใช้แรงงานคนเยอะ สามารถใช้เครื่องจักรที่มีอยู่แล้วในการเตรียมหน้าดินได้ นอกจากนี้ยังเรียกผู้บกพร่องทางร่างกายในชุมชนเดียวกัน มาให้ร่วมโปรเจ็คจึงถือเป็นการกระจายรายได้อีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ปีที่ผ่านมาเริ่มเป็นปีแรกก็จริง แต่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากและผู้คนให้ความสนใจกับการใช้น้ำมันทานตะวันมากยิ่งขึ้น ทำให้ปี 2020 นี้ได้ขยายพื้นที่และจำนวนดอกทานตะวันที่ปลูกเป็นเท่าตัวและคงจะพัฒนาโปรเจ็คนี้อีกต่อๆ ไปให้ดียิ่งขึ้น
อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างคะ โปรเจ็คทุกๆ โปรเจ็คไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ระดับตำบล ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด หรือระดับประเทศก็ตาม จะสำเร็จลุล่วงได้แบบยั่งยืนถาวรนั้น จะต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจของชุมชนนั้นๆ ที่จะเดินไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องใหญ่โตอลังการตั้งแต่เริ่มแรก หากแต่ค่อยๆขยับขยายไปเรื่อยๆ พร้อมดูข้อบกพร่องและปรับปรุงแก้ไขไป
โนเองเพิ่งเล่าให้คุณยายที่มาจากโอซาก้าฟังหลังจากที่พาไปเที่ยวทุ่งดอกทานตะวันเมื่อบ่ายที่ผ่านมา คุณยายก็บอกว่าเท่าที่เคยรู้มาไม่มีชุมชนเกษตรไหนที่คิดและพัฒนาชุมชนมากขนาดนี้ รู้สึกชื่นชมจริงๆ จากใจ และยังบอกว่าถ้ามีเป็นกล่องบริจาควางสักนิดก็คงจะดีเหมือนกัน เพราะการที่ให้มาชมฟรีมันก็ดี แต่ผู้คนที่มาเยือนบางส่วนก็อาจจะอยากช่วยพัฒนาโปรเจ็คนอกจากการซื้อน้ำมันอีกด้วย
เรื่องแนะนำ :
– 1 วันแสนสนุกในเมืองมินาคามิ
– พายคายัคที่ฟินที่สุดในชีวิตที่เมืองมินาคามิ จังหวัดกุนมะ
– สัมผัสธรรมชาติที่เมือง Nishiwaga-machi
– ทุ่งลาเวนเดอร์ที่อิวาเตะก็สวยไม่แพ้ที่อื่น
– สวน Michinoku Ajisai สวนไฮเดรนเยียที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
#ทุ่งดอกทานตะวัน 2 แสนต้นที่มากกว่าแหล่งท่องเที่ยว