อัพเดท 5 พิกัด บรรยากาศสุดหลอนรับฮาโลวีน
เมื่ออากาศเย็นสบายมาพร้อมกับธรรมชาติที่เต็มไปด้วยสีสันสุดตระการตา ไม่ว่าจะเป็นสีแดง ส้ม เหลือง ชมพู หรือเขียว – – นี่จึงเป็นอีกฤดูกาลที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติต่างก็มุ่งหน้าไปชมความงามในมุมต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่นกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งอีกหนึ่งฤดู วันนี้เราจึงขอพักจากเรื่องราวต่างๆ แล้วชวนคุณไปส่องดูพิกัด Hiking เอาใจสายชิลล์ที่ชอบเดินป่าขึ้นเขาชมวิวงามๆ แบบฉ่ำตา! กับ 10 พิกัดธรรมชาติสุดปังซึ่งมีใบไม้แดงให้ชมกันตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงธันวาคมโน่นเลยละ แต่จะมีมุมไหนในญี่ปุ่นบ้างนั้นน่ะ ไปดูกันได้เลย!
10 พิกัดชมใบไม้แดงในญี่ปุ่น ปี 2024

1. Daisetsuzan (Hokkaido)
หากคุณอยากเห็นใบไม้แดงเป็นคนแรกๆ ก่อนใคร แนะนำให้ปักหมุดที่นี่เอาไว้ได้เลย เพราะนอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ซึ่งสามารถเห็นใบไม้เปลี่ยนสีได้เป็นที่แรกๆ ของญี่ปุ่น แถมยังเป็นจุดไฮกิ้งที่ได้ชื่อว่ามีธรรมชาติงดงามที่สุดแห่งหนึ่งในแดนอาทิตย์อุทัยแล้ว อุทยานแห่งชาติไดเซทสึซังนั้นยังได้ชื่อว่าเป็น ‘หลังคาของฮอกไกโด’ อีกด้วย ที่นี่เป็นอุทยานฯ ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่ และมีจุดเดินป่าที่น่าสนใจให้เลือกเดินชมธรรมชาติกันได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบริเวณภูเขา Kurodake ซึ่งค่อนข้างสะดวกสบายเข้าถึงได้ไม่ยากนัก หรือหากคุณอยากชาเล้นจ์ตัวเองเพิ่มขึ้นอีกนิดก็ขอแนะนำให้ไปพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดของโซนนี้อย่างภูเขา Asahi หรือถ้าอยากเป็นคนแรกๆ ที่ได้เห็นการคืบคลานมาของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ก็ต้องปักหมุดไปที่เส้นทางเดินป่าจาก Ginsendai ไปยังภูเขา Akadate ซึ่งจะสามารถสัมผัสกลิ่นอายของใบไม้เปลี่ยนสีกันได้ตั้งแต่ราวกลางเดือนกันยายนกันเลยเชียวละ ชอบแบบไหนเลือกมาปักหมุดตามที่ใจอยากได้เลย
ช่วงเวลาเยี่ยมชม: กลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน
การเดินทาง: กระเช้าลอยฟ้า Daisetsuzan Asahidake สถานี Sanroku
เวลา: 8 ชั่วโมง
ความยาก: ปานกลาง
2. Mount Kurikoma (Tohoku)
นี่คือเส้นทางเดินป่าชมความสวยของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘The Carpet of God’! – – โดยเส้นทางสวยของสีสันธรรมชาติแห่งนี้อยู่ที่ภูเขา Kurikoma ซึ่งเป็นภูเขาที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สามจังหวัดในภูมิภาคโทโฮขุ อันได้แก่ Miyagi, Iwate และ Akita โดยจะมีเส้นทางเดินป่าให้คุณเลือกเดินได้ตามความสามารถถึง 9 เส้นทาง และแต่ละเส้นทางจะมีทิวทัศน์รวมทั้งระดับความยากง่ายที่แตกต่างกันออกไป นอกจากจะได้ชมความสวยของสีสันจากธรรมชาติกันแบบจุใจแล้ว รอบๆ ของภูเขาลูกนี้ยังเต็มไปด้วยบ่อน้ำร้อนจากธรรมชาติอีกด้วยนะ เดินป่าชมธรรมชาติแบบฟินๆ แล้วกลับมานอนแช่ออนเซ็นอุ่นๆ ปิดท้ายวัน อะไรมันจะดีไปกว่านี้?
ช่วงเวลาเยี่ยมชม: ปลายเดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม
การเดินทาง: สถานี Kurikoma-Kogen (มีรถบัสพิเศษบริการเฉพาะผู้ที่จองตั๋วล่วงหน้าเท่านั้น)
เวลา: 4 ชั่วโมง
ความยาก: ปานกลาง
3. Mount Naeba (Niigata)
นีงาตะนั้นได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เดินทางง่ายเพราะไม่ไกลมากนักจากโตเกียว และถึงจะใช้เวลาเดินทางด้วยชินคันเซ็นเพียงแป๊บเดียว แต่จังหวัดนี้กลับมีพิกัดธรรมชาติสวยๆ ให้สัมผัสกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทะเล เกาะ หรือภูเขา – – และหนึ่งในพิกัดที่เราอยากหยิบมาแนะนำกันคราวนี้ก็ต้องขอยกให้ภูเขา Naeba ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติ Joshin’etsukogen ในพื้นที่รอยต่อของนีงาตะและนากาโน่ โดยความงดงามของสีสันแห่งฤดูใบไม้ผลิบริเวณนี้จะเริ่มต้นมีให้เห็นกันตั้งแต่ราวกลางเดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนเลยนะ เส้นทางยอดฮิตของที่นี่ก็ต้องเป็นการเริ่มไฮกิ้งจากเส้นทาง Wadagoya ซึ่งจะมีทั้งทุ่งหญ้ากว้างและทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามตระการตาของภูเขาสูงให้ได้ชมกัน ส่วนจะเว่อร์วังอลังการขนาดไหนนั้น คงต้องลองไปเดินชมด้วยตัวเอง!
ช่วงเวลาเยี่ยมชม: ต้นเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน
การเดินทาง: แท็กซี่จากสถานี Echigo Yuzawa
เวลา: 7.5 ชม
ความยาก: ปานกลาง
4. Ryuoko Gorge (Tochigi)
แม้จะเรียกได้ว่าเป็นพิกัดที่สามารถมาชมความงามของธรรมชาติกันได้ในทุกฤดูกาล แต่ถ้าอยากจะเห็นสีสันที่น่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ ก็คงต้องปักหมุดไปเช็คอินกันในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนี่ละ เพราะที่หุบเขา Ryuoko แห่งนี้ คุณจะได้เห็นความสวยที่ดึงดูดสายตา ไม่ว่าจะเป็นสีแดง ส้ม เหลือง เขียว ตัดกับสีฟ้าของแม่น้ำที่ไหลผ่านอยู่ด้านล่างระหว่างหุบเขา เรียกว่าตลอดเส้นทางเดินป่าความยาวประมาณ 7 กิโลเมตรของที่นี่นั้น คุณจะได้เพลินตากันสุดๆ แบบไม่ซ้ำกับพิกัดไหนๆ แถมนี่ยังเป็นเส้นทางไฮกิ้งที่ค่อนข้างง่าย เหมาะกับมือใหม่หัดเดินแบบสุดๆ เลยละ แล้วยิ่งถ้ารู้ว่าจุดหมายปลายทางของเส้นทางเดินป่าแห่งนี้นั้นมีเมืองออนเซ็นสุดชิลล์อย่าง Kawaji รออยู่ข้างหน้า เชื่อว่าทุกคนจะยิ่งอยากมาเยือนที่นี่กันอย่างแน่นอน!
ช่วงเวลาเยี่ยมชม: ปลายเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน
การเดินทาง: สถานี Ryuoko
เวลา: 90 นาที
ความยาก: ง่าย
5. Mount Nantai (Tochigi)
ต่อกันด้วยอีกหนึ่งพิกัดสวยน่าเดินชมนกชมไม้ในจังหวัดโทชิกิ ซึ่งมีทั้งต้นไม้หลากสีสันของผืนป่าและภูเขา Nantai มีวิวสุดผ่อนคลายสบายตาของทะเลสาบ Chuzenji และยังมีศาลเจ้า Futarasan ให้แวะมูขอพรกันได้ในเส้นทางเดินป่าระยะทาง 4 กิโลเมตร (แต่เส้นทางนี้จะเปิดให้เดินถึงแค่ 11 พฤศจิกายนเท่านั้นน้า) ใครเป็นสายไฮกิ้งที่ทำเวลาได้ดีและค่อนข้างมีประสบการณ์ ที่นี่ยังมีเส้นทางเดินที่ค่อนข้างต้องออกแรงสู้กับความสูงชันแบบเต็มๆ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมงในการเดินทางไป – กลับให้ลองชาเล้นจ์ตัวเองกันได้ด้วยนะ ชอบแบบไหน เลือกเดินตามกำลังขากันได้เลย
ช่วงเวลาน่าชม: ต้นเดือนพฤศจิกายน
การเดินทาง: ป้ายรถบัส Futarasan-jinja Chuguji
เวลา: 7 ชั่วโมง
ความยาก: อยู่ในระดับค่อนข้างเหมาะกับคนที่ชอบความท้าทาย
6. Mount Tsukiore (Ibaraki)
นี่คือเส้นทางที่จะพิสูจน์ได้ว่าวิวสวยและเดินไม่ยากนั้นมีอยู่จริง! กับเส้นทางไฮกิ้งซึ่งเรียกได้ว่าเหมาะสุดๆ กับบรรดานักเดินมือใหม่ เพราะแค่จุดเริ่มต้นของเส้นทางคุณก็จะได้เจอกับความงดงามราวกับภาพวาดของน้ำตก Fukuoda ซึ่งหากคุณดวงดีได้ไปในจังหวะที่ถูกที่ถูกเวลา ก็จะได้เห็นภาพสายน้ำสีขาวซึ่งไหลลงมาตามโขดหิน ตัดกับสีสันสดใสของใบไม้เปลี่ยนสีที่อยู่รอบด้าน น้ำตกความสูง 120 เมตรแห่งนี้นั้นได้รับการเรียกขานกันเล่นๆ ว่า Yondo no Taki ซึ่งมีความหมายว่า ‘น้ำตกสามครั้ง’ โดยตั้งตามลักษณะโขดหินที่ลดหลั่นกันเหมือนขั้นบันไดสามขั้น เส้นทางไฮกิ้งจะนำคุณขึ้นไปยังยอดเขาฝาแฝดของภูเขา Tsukiore ซึ่งอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน ที่สำคัญคืออิบารากินั้นเป็นอีกจังหวัดซึ่งเดินทางได้ไม่ยากนักจากโตเกียวด้วยนะ ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศแบบไม่ต้องขนของออกไปค้างนอกเมืองให้วุ่นวาย ปักหมุดเส้นทางนี้ได้เลย
ช่วงเวลาน่าชม: กลางถึงปลายเดือนพฤศจิกายน
การเดินทาง: สถานี Fukuroda
เวลา: 3 ชั่วโมง
ความยาก: ง่าย
7. Mount Takao (Tokyo)
ถ้าคุณเป็นคนชอบชีวิตในเมืองใหญ่ แต่ก็แอบอยากไปสัมผัสฟีลใบไม้แดงท่ามกลางธรรมชาติดูบ้างแบบไม่ต้องยุ่งยากอะไร แนะนำให้วางแพลนไปเช็คอินที่นี่ดู เพราะภูเขา Takao นั้นใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟจากชินจูกุมาแค่ชั่วโมงเดียวเองจ้า จึงเหมาะกับการมาสัมผัสธรรมชาติแบบเบาๆ สบายๆ ที่เด็ดก็คือแม้จะอยู่ใกล้โตเกียว แต่ที่นี่ก็ยังมีเส้นทางไฮกิ้งให้เลือกกันได้ถึง 7 เส้นทางเชียวละ โดยแต่ละเส้นทางก็จะมีทิวทัศน์และต้องใช้ทักษะในการเดินป่าที่แตกต่างกันออกไป เก๋กว่าใครก็ตรงที่เค้ามีการจัดเทศกาลฤดูใบไม้เปลี่ยนสีกันด้วยนะ โดยปีนี้จะจัดตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม – 1 ธันวาคม ในงานจะมีการแสดงต่างๆ ให้ชมกันได้มากมาย เป็นอีกเส้นทางไฮกิ้งที่ทั้งง่าย สะดวกสบาย และน่าสนใจไม่แพ้ที่ไหนเลย
ช่วงเวลาน่าชม: ปลายเดือนพฤศจิกายน
การเดินทาง: สถานี Takaosanguchi
เวลา: 90 นาที ถึง 5.5 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเส้นทาง
ความยาก: ง่ายถึงท้าทาย ขึ้นอยู่กับเส้นทาง
8. Karasawa Cirque (Nagano)
สำหรับใครที่เป็นสายแค้มปิ้งหรือสายลุยซึ่งอยากไฮกิ้งแบบเต็มที่ เชื่อว่าน่าจะถูกใจกับเส้นทางนี้กันแน่นอน เพราะนี่คือเส้นทางไฮกิ้งชมทิวทัศน์ใบไม้เปลี่ยนสีที่คุณจะได้เห็นความยิ่งใหญ่อลังการของ Japan Alps กันแบบเต็มตา กับเส้นทางเดินป่าที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยที่สุดคือ 2 วัน แถมยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินป่าที่วิวดีที่สุดของญี่ปุ่นเลยด้วยนะ ในเส้นทางนี้ คุณจะได้ชมความงดงามของสีสันในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีบริเวณวงแหวนคาราซาวะ และยังจะได้เห็นความตระการตาของหนึ่งในยอดเขาที่สูงและสวยที่สุดของญี่ปุ่นกันแบบจุใจ ระหว่างเส้นทางเดินคุณยังจะได้แวะแค้มปิ้งค้างคืนท่ามกลางความสวยของธรรมชาติ แต่ข่าวร้ายคือหากไปตอนนี้คุณอาจจะพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการชมวิวไปแล้วจ้า เอาน่า เตรียมตัวไว้ไปปีหน้าก็ยังทัน!
ช่วงเวลาเยี่ยมชม: ต้นถึงกลางเดือนตุลาคม
การเดินทาง: สถานีรถบัส Kamikochi
เวลา: 11.5 ชม
ความยาก: ปานกลาง
9. Mount Ishizuchi (Ehime)
จังหวัดเอฮิเมะ อาจจะเป็นจังหวัดที่หลายคนไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นชื่อกันซักเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วจังหวัดนี้นั้นอยู่ไม่ไกลจากพิกัดที่นักท่องเที่ยวชาวไทยรู้จักกันดีอย่างฮิโรชิม่าและเบปปุเลยนะ แถมยังเดินทางได้สบายๆ จากโอซาก้าหรือฟุกุโอกะ นี่จึงเป็นพิกัดที่น่าจะเหมาะสำหรับคนชอบสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งน่าสนใจใหม่ๆ ไม่ซ้ำใคร และสำหรับสายไฮกิ้ง เส้นทางที่เราแนะนำนั้นจะพาคุณไปชมความสวยจากสีสันของใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งมีรูปร่างแปลกตาของยอดเขา Ishizuchi ซึ่งสูงที่สุดทางฝั่งตะวันตกของประเทศญี่ปุ่นเป็นไฮไลท์ นอกจากนั้น ในเส้นทางนี้คุณยังจะได้พบกับศาลเจ้า Ishizuchi และโทริอิซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์อีกหลายแห่ง ก่อนจะได้ชาเล้นจ์ตัวเองกับเส้นทางสู่ยอดเขา Tengu-date ที่ค่อนข้างแคบและชัน นับเป็นเส้นทางเดินป่าที่คุณจะได้สัมผัสทิวทัศน์และรสชาติที่หลากหลายแตกต่างกันแบบไม่มีคำว่าเบื่อเลยทีเดียว
ช่วงเวลาน่าเยี่ยมชม: ต้นเดือนธันวาคม
การเดินทาง: สถานี Iyo Saijo
เวลา: 6 ชั่วโมง
ความยาก: ปานกลาง (จุดสูงสุดค่อนข้างท้าทายความสามารถนิดหน่อย)
10. Mount Kuju and Nakadate (Oita)
ปิดท้ายกันที่โซนภาคใต้อย่างจังหวัดโออิตะในคิวชู ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่คุณจะสามารถดูความสวยของใบไม้เปลี่ยนสีกันได้เป็นลำดับท้ายๆ ในประเทศญี่ปุ่น นี่จึงเป็นเส้นทางไฮกิ้งชมธรรมชาติที่อาจจะเหมาะกับคุณๆ ซึ่งยังไม่ได้ลงแพลนว่าจะไปไหนดี เพราะน่าจะยังพอมีเวลาสำหรับเตรียมตัว และแม้ใบไม้แดงที่นี่จะมาถึงช้ากว่าพื้นที่อื่นๆ แต่รับรองได้เลยว่านี่คือหนึ่งในเส้นทางไฮกิ้งชมสีสันของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่เริ่ดไม่แพ้เส้นทางไหนๆ เพราะเป็นเส้นทางเดินป่าตามแนวภูเขา Kuju และภูเขา Nakadate ซึ่งคุณจะได้เห็นความสวยของภูเขาไฟคิวชูที่ถูกรายล้อมด้วยสีสันสดใสละลานตา เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งเส้นทางไฮกิ้งที่สวยและเหมาะสำหรับการมาเดินป่าปิดท้ายฤดูใบไม้เปลี่ยนสีของญี่ปุ่นแบบสุดๆ เลยทีเดียว!
ช่วงเวลาเยี่ยมชม: ต้นถึงกลางเดือนธันวาคม
การเดินทาง: ป้ายรถเมล์ Makinoto
เวลา: 6.5 ชม
ความยาก: ปานกลาง
และทั้งหมดนี้คือ 10 เส้นทางไฮกิ้งชมความตระการตาของใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นซึ่งเราหยิบเอามาฝากกัน แม้บางพิกัดอาจจะผ่านช่วงสวยพีคสุดๆ มาแล้ว แต่อีกหลายเส้นทางก็ยังน่าจะปักหมุดไปชมกันได้แบบไม่ยากเกินไป ใครยังไม่เคยมีโอกาสไปดูใบไม้แดงที่ญี่ปุ่น แนะนำเลยว่าไม่ควรพลาด! เพราะด้วยความสะดวก ปลอดภัย ความสงบ และความสวยของธรรมชาติในประเทศนี้ รับรองเลยว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งทริปไฮกิ้งที่น่าจะอยู่ในความทรงจำของคุณไปอีกนาน!
เรื่องแนะนำ :
– อัพเดท 5 พิกัด บรรยากาศสุดหลอนรับฮาโลวีน
– Kanazawa – เมืองที่นำพาทองคำเปลวสู่การเป็นมรดกโลก!
– อัพเดท 11 แอพพลิเคชั่นปี 2024 – – มีติดไว้ เที่ยวญี่ปุ่นง่ายขึ้นแน่นอน!
– 9 เดือน 9 ปีนี้ คุณมีดอกเบญจมาศกันรึยัง?
– ‘สาเก’ เครื่องดื่มประจำชาติที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเจแปน
– เมื่อผู้คนในดินแดนแห่งอุตสาหกรรม AV กลับหันหลังให้ SEX มากขึ้นทุกทีในชีวิตจริง!
อ้างอิงข้อมูลและรูปภาพจาก:
https://blog.gaijinpot.com/10-autumn-hikes-in-japan/
https://travel-navi.visit-hokkaido.jp/library/
#10 พิกัด Hiking ดูใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นแบบฉ่ำๆ ให้หนำใจ!
