ที่ญี่ปุ่นก็เข้าฤดูใบไม้ร่วงกันแล้ว บางวันก็เริ่มมีลมเย็นๆ พัดมาบ้าง ซึ่งไฮไลท์ของญี่ปุ่นในช่วงฤดูนี้ ก็คือใบไม้เปลี่ยนสี และโทโฮคุก็เป็นภูมิภาคหนึ่งที่โดดเด่นมากในฤดูนี้ เราจึงขอนำบรรยากาศมาฝากให้หายคิดถึงกัน
สวัสดีค่ะ ช่วงนี้อยากไปเที่ยวญี่ปุ่นแค่ไหนก็คงจะยาก ทีมงาน marumura เลยเก็บภาพบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวภูมิภาคโทโฮขุตอนเหนือในช่วงนี้มาฝากให้หายคิดถึงกันก่อน และเพื่อเป็นไอเดียวางแผนไปเที่ยวด้วยค่าาาาา
ที่ญี่ปุ่นตอนนี้ก็ปลายเดือนตุลาคมแล้ว… เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วง บางวันก็เริ่มมีลมเย็นๆ ของฤดูหนาวพัดมาบ้างแล้ว ซึ่งไฮไลท์ของญี่ปุ่นในฤดูนี้ที่จะพลาดชมไม่ได้เลย ก็คือใบไม้เปลี่ยนสี โทโฮคุเป็นภูมิภาคหนึ่งที่มีชื่อเสียงโดดเด่นมากเหมาะกับการมาเที่ยวกันในช่วงฤดูนี้
โทโฮคุ (Tohoku) ตั้งอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ทำให้มีอุณหภูมิต่ำ และใบไม้เปลี่ยนสีเร็วกว่าพื้นที่อื่นๆ อีกทั้งยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีพืชพันธุ์หลากหลายชนิดทำให้สีสันของใบไม้ช่วงเปลี่ยนสีมีความสวยงาม แล้วยังมีสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีหลากหลายแห่งอีกด้วย
โทโฮคุมีสถานที่ชมใบไม้แดงชื่อดังหลายแห่ง เราจึงเลือกออกทริปยาวๆ 6 วัน เลือกสถานที่ชมใบไม้แดงที่ได้รับความนิยมในโทโฮคุ พาเพื่อนๆ ไปชมใบไม้แดงกันอย่างจุใจเลยค่ะ
เราเริ่มต้นออกเดินทางจากสถานีโตเกียว โดยขึ้นชินกันเซน Hayabusa สีเขียว ออกเดินทางเวลา 08.20 น. ไปถึงสถานี Shin-Aomori เวลา11.21 น.
พอถึงเราก็ใช้รถส่วนตัวนั่งต่อไปที่ตลาดท้องถิ่น เพื่อทานอาหารกลางวัน ใช้เวลาจากสถานี Shin-Aomori ประมาณ 20 นาที ถ้านั่งรถไฟมาลงที่สถานี Aomori ก็ได้ แล้วเดินต่อประมาณ 10 นาที ตลาดนี้มีชื่อว่า Aomori Gyosai Center (Nokkedon) เป็นตลาดที่มีชื่อเสียงในการเลือกวัตถุดิบ หรือกับข้าวที่ตัวเองชอบจากร้านต่างๆ ในตลาด เพื่อนำมาทำข้าวหน้า (Donburi) แบบ original ของตัวเอง หรือที่เรียกว่า Nokkedon นั่นเอง
สถานที่ทานอาหารมี 3 แห่ง ซื้ออาหารเสร็จแล้ว จะเลือกนั่งที่ไหนก็ได้ แต่ก่อนที่เราจะเข้าไปชมในตลาด เราก็ต้องซื้อบัตรจากด้านหน้าก่อน ราคา 1,500 เยน จากนั้นเราก็จะได้บัตรมา พร้อมกับตั๋วทานอาหาร ซึ่งเราจะใช้ตั๋วนี้ในการซื้ออาหาร บางอย่างก็อาจจะใช้ 1 ใบ บางอย่างก็ 2 ใบตามราคา เลือกเอาเลยตามชอบเพื่อทำข้าวด้งที่เราชอบ แบบนี้น่าจะถูกใจสายกินมากๆ
ร้านแรกที่เรามาชื่อร้าน ยามาดะ เพื่อซื้อข้าวเป็นฐานด้ง (Donburi) ของเราก่อน ใช้ตั๋ว 1 ใบ ส่วนร้านอื่นๆ ก็มีทั้งปลามากุโระ โทโร่ ปลาหมึกยักษ์ กุ้ง หรือของขึ้นชื่อของที่นี่ นั่นคือหอยเชลล์สดๆ มีหลากหลายร้านให้เลือกชิมกัน ราคาก็แตกต่างกันไปตามของที่เลือก
สำหรับสายที่ไม่ทานปลาอย่างเรา เลือกทานเป็นเนื้อย่าง!! สำหรับเนื้อราคาก็จะสูงหน่อย มีให้เลือกแบบใช้ตั๋ว 3 ใบ หรือ 7 ใบ เรายังไม่ได้เลือกเมนูอื่น ก็เลยเลือกเป็นเนื้อ 7 ใบไปเลย!! มาดูกันว่าจะน่าทานขนาดไหนค่ะ
ได้อาหารแล้วเราก็ขึ้นไปชั้น 2 เพื่อหาที่นั่งทานกัน เนื่องจาก Covid เราก็เลยต้อง social distancing นั่งห่างๆ กันตามที่เห็น อาหารของเพื่อนร่วมทริปของเรา แต่ละคนน่าทานกันมากๆ
รีวิวเนื้อของเรานะคะ บอกเลยว่าคุ้มมากกกก 1,500 เยน ได้เนื้อเต็มๆ แผ่น เนื้อนุ่มมมม หอมถ่านย่าง รสชาติซอสเข้มข้น เราเหลือตั๋วสองใบเลยเพิ่มด้วยกุ้งทอดได้อีก 2 ตัว เรียกว่าอิ่มจุใจมากๆ เลย
สถานที่ต่อไปที่เราไปกันก็คือ ภูเขา Hakkoda ค่ะ ที่นี่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม นั่งรถจากที่ทานอาหารกลางวันมาประมาณ 45 นาที เมื่อไปถึง เราก็ไปขึ้น Hakkoda Ropeway เพื่อขึ้นไปถึงยอดเขา ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีค่ะ
ขอเตือนเพื่อนๆ ที่จะมาที่นี่หน่อยนึง ฤดูนี้ให้เตรียมตัวใส่เสื้อกันหนาว หมวก ถุงมือเพื่อความอบอุ่นมาให้พร้อม วันนี้ที่อาโอโมริอากาศประมาณ 15 – 17 องศา แต่พอมาถึงบนเขา อุณหภูมิต่ำกว่าด้านล่างมากๆ ประมาณ 2 – 7 องศาเอง ถึงกับต้องเปลี่ยนโค้ทกันเลยทีเดียว
นั่ง Ropeway มาถึงยอดแล้ว ตกใจกับอากาศที่หนาวมากๆ 1.7 องศาเท่านั้น!! เจ้าหน้าที่เล่าว่าที่นี่ใบไม้เปลี่ยนสีเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนแล้ว เพราะปีนี้อุณหภูมิลดลงเร็วกว่าปีอื่น และช่วงนี้เป็นช่วงที่เชิงเขากำลังมีใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามที่สุด และเจ้าหน้าที่ยังแนะนำว่า บรรยากาศที่มีเมฆปกคลุม จะสามารถดูใบไม้เปลี่ยนสีได้ดีที่สุด
ส่วนช่วงฤดูหนาวก็สามารถมาดูบรรยากาศหิมะและเล่นสกีได้ ช่วงที่ดีที่สุดคือเดือนมกราคม ที่มีชื่อเสียงมากๆ เรื่อง snow monster ที่สามารถเห็นได้ช่วงเดือนมกราคมหลังหิมะตก โดยที่ Hakkoda นี้เราสามารถเล่นสกีได้ถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงซากุระของที่นี่บานพอดี เป็นช่วงที่สำคัญมากๆ เพราะสามารถเล่นสกีพร้อมกับดูวิวซากุระได้ด้วย
เส้นทางเดินชมภูเขา Hakkoda เรียกว่า Gourd Line หรือเส้นทางน้ำเต้า เพราะมีเส้นทางรูปร่างเหมือนเลข 8 หรือรูปน้ำเต้า เดินทางไปกลับใช้เวลา 60 นาที (1.8 กม.) สำหรับเส้นทางเต็มๆ และ 30 นาที (1 กม.) สำหรับคนที่ไม่อยากเดินไกลมาก
ในวันที่อากาศดีๆ สามารถมองเห็นภูเขาต่างๆ ได้ น่าเสียดายที่วันนี้มีหมอกมาก ทำให้ไม่เห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม มองเห็นแต่หมอกสีขาว
จากนั้นเราก็ไปกันต่อที่สะพาน Jogakura Ohashi bridge ซึ่งเป็นจุดชมวิวใบไม้แดงที่ได้รับความนิยมและมีทิวทัศน์ที่สวยมากๆ มุมที่ได้รับความนิยมที่สุดก็คือภาพสะพานที่มีใบไม้สีแดงเป็นฉากหลัง จากบนสะพานเราจะเห็นภูเขาที่ชื่อว่าอิวากิ (Iwaki) ซึ่งมีอีกชื่อเรียกภูเขาไฟฟูจิของเมืองซุการุ (“ซุการุ” เป็นชื่อเรียกแคว้นบริเวณนี้ในสมัยที่ยังไม่เป็นจังหวัดแบบปัจจุบัน)
ระหว่างทางพักรถ เรามากันที่ Michinoeki Oirase หรือก็คือตลาดริมทางโออิราเสะ มาจากชื่อแม่น้ำโออิราเสะที่ไหลผ่าน จุดนี้มีของฝากจากภูมิภาคนี้ขายมากมาย ทั้งน้ำแอปเปิล พายแอปเปิล แอปเปิลแผ่นอบ น่าซื้อทั้งนั้นเลยค่ะ
หลังจากแวะพักแล้ว เราก็นั่งรถกันต่อประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึง Tanesashi Kaigan สถานที่ที่เราจะมาทานอาหารเย็นกัน ซึ่งเป็นสไตล์บาร์บีคิวค่ะ
ที่นี่เป็นสถานที่ค่อนข้างซ่อนอยู่ในที่ลึกลับหน่อย อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ให้ความรู้สึกเหมือนไปเข้าค่ายเลย เราเดินตามทางที่ท้องฟ้ามืดจนมองเห็นดาวและพระจันทร์ชัดเจน พอเข้าไปถึงก็ต้องทึ่งเพราะไม่คิดว่าจะมีที่ทานบาร์บีคิวอย่างนี้อยู่ที่นี่ด้วย โต๊ะทานอาหารอยู่รอบกองไฟ ได้บรรยากาศแกลมปิ้ง (glamping) ในป่าสุดๆ
อาหาร appetizer วันนี้เป็น carpaccio ปลาฮิราเมะ(ปลาตาเดียว) สำหรับคนที่ไม่ทานปลา ก็เป็นสลัด Roast Beef จานใหญ่มากๆ และซุป pot au feu มันฝรั่งและไก่ร้อนๆ ให้เราได้คลายหนาวกัน ซุปกลมกล่อม เครื่องแน่นสุดๆ แครอทมาเป็นหัว อิ่มจุใจกันไปเลย
หลังจากนั้นก็เป็น main ของวันนึ้ ซึ่งก็คือบาร์บีคิวนั่นเอง สำหรับคนทั่วไปก็ได้อาหารแบบจัดเต็มมาก มีทั้งเนื้อ ปลาซาบะ กุ้ง หอยเชลล์ และผักรวมกับไก่เสียบไม้ย่าง อาหารทุกอย่างสดใหม่น่าทานมากๆ รสชาติอร่อยได้อารมณ์ปิ้งย่างกลางป่า
ส่วนเราที่ไม่ทานปลา ก็ได้เนื้อมาแทน ซึ่งเนื้อนุ่ม ได้รสเนื้อมากๆ ส่วนไก่ก็เป็นไก่จิโดริ หรือไก่เลี้ยงธรรมชาติ ทำให้กล้ามเนื้อเยอะและแข็งแรง เนื้อเด้งได้รสชาติไก่อร่อยมากๆ หลังจากอิ่มกับบาร์บีคิวแล้ว ก็ยังมีแกงกะหรี่รสจัดจ้าน เข้ากันกับข้าวหนึบๆ ซึ่งขอเพิ่มได้
และขนมสำหรับวันนี้ คือมาร์ชเมลโลเผากับกล้วยและเบอร์รี่ มาร์ชเมลโลว์หวานๆ ตัดกับเบอร์รี่เปรี้ยวๆ และกล้วยนัวๆ ปิดท้ายมื้อนี้ได้ลงตัวสุดๆ
สำหรับลูกค้าทั่วไปที่มาพักที่นี่ จะได้ทานอาหารสไตล์บาร์บีคิวแบบที่เราทานกัน ซึ่งความพิเศษของอาหารมื้อนี้ก็คือ อาหารทุกอย่างทำมาจากวัตถุดิบท้องถิ่นที่หาได้ในย่านนี้ ใช้ซีฟู้ดสดๆ ที่ชาวประมงแถบนี้เพิ่งตกได้ หลังจากนั้น ลูกค้าจะได้เข้าพักในที่พักที่เป็นเต้นท์แต่มีอุปกรณ์เพื่อความสะดวกสบายครบครัน หรือที่เรียกกันว่าแกลมปิ้ง (glamping)
นอกจากกิจกรรมบาร์บีคิวตอนกลางคืนแล้ว ยังมีกิจกรรมอาหารเช้าชิคๆ ที่จัดขึ้นเป็นพิเศษโดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ให้ผู้เข้าพักรับประทานที่ชายหาดได้ แล้วยังมีกิจกรรม โยคะ เดินเขา trekking พายเรือ ปั่นจักรยาน และยังมีโปรแกรมการเที่ยวสถานที่กินดื่มของชาวเมือง และโรงงานทำเหล้า ซึ่งผู้เข้าพักสามารถให้ทางเจ้าหน้าที่จัดโปรแกรมการเข้าพักตามระยะเวลาที่ต้องการ เช่น 1 คืน 2 วัน ให้ได้ด้วย
ราคาแบบ Luxury Course สำหรับ 2 คน คืนละ 46,000 เยน
มีชุดบาร์บีคิวอาหารเย็น รวมเครื่องดื่มและแอลกอฮอล์ เต้นท์ที่พัก และอาหารเช้าให้พร้อม โดย 1 เต้นท์เข้าพักได้มากสุด 4 คน
หลังมื้อค่ำ เราก็เข้าที่พักที่โรงแรม Daiwa Roynet เป็น business hotel ในตัวเมือง ห้องพักขนาดกำลังพอดี สะอาด อุปกรณ์ครบครัน ที่ฟร้อนท์มีบริการให้หยิบกาแฟได้ตามต้องการอีกด้วย แต่ถ้าใครอยากทานกาแฟที่ร้าน ก็มี Tully’s อยู่ฝั่งตรงข้าม และที่สำคัญโรงแรมนี้ยังมีร้านสะดวกซื้อลอว์สันอยู่ข้างล่าง สะดวกสบายมากๆ เลย
สำหรับวันนี้ ทริปยังไม่จบ หลังจากเราเช็คอินที่โรงแรมแล้ว ก็ไปเดินเล่นกันต่อที่ Hachinohe Yarai Village Miroku Yokocho ซึ่งเป็นตรอกร้านกินดื่มสำหรับคนท้องถิ่น จริงๆ มีตรอกกินดื่มที่คล้ายๆ กันหลายแห่ง แต่ Miroku Yokocho ตั้งอยู่ในตัวเมืองเดินทางสะดวก จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว เดินออกจากโรงแรมมาประมาณ 10 นาทีก็ถึง
ระหว่างทางเจอฮอลล์สำหรับจัดอีเวนท์ สวยมากๆ ค่ะ
ใน Yokocho มีร้านอาหารขายอาหารพื้นเมืองต่างๆ และโดดเด่นเรื่องราเมงน้ำซุปปลา ในตรอกเป็นร้านกินดื่มสไตล์อิซากายะเล็กๆ เรียงๆ กัน ตกแต่งด้วยสีสันหลากหลายน่ารักมากๆ มีชาวเมืองหนุ่มสาวมานั่งกินดื่ม และถึงจะดูเป็นร้านเล็กๆ แต่ก็จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ดูสะอาดสะอ้าน
นอกจากนี้ยังมีที่นั่งหน้าโขดหินที่มีน้ำตกไหลลงมา ดูแปลกตาน่าสนใจมาก ที่ไทยช่วงนี้ร้านแนวอิซากายะกำลังฮิตพอดี ถ้าใครได้มีโอกาสมาที่นี่ ก็น่าลองมากินดื่มที่ Miroku Yokocho ดูซักครั้งค่ะ
เช้าในรุ่งขึ้น เราเริ่มต้นด้วยการทานอาหารเช้าที่โรงแรม แล้วก็ออกเดินทางโดนรถยนต์ประมาณ 15 นาที ไปที่ศาลเจ้า Kabushima ซึ่งอยู่ริมชายหาด
จุดเด่นของศาลเจ้า Kabushima ก็คือเสาโทริอิสีแดงที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ทะเลอยู่ด้านหลัง และเรายังเห็นนกอูมิเนโกะ (คล้ายนกนางนวลบ้านเรา) บินให้เห็นรอบๆ ศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ
มองจากด้านบนศาลเจ้า เราจะเห็นวิวทิวทัศน์ชายทะเล และท่าเรือที่สวยงาม รวมไปถึงภูเขา Hakkoda ที่เราไปมาเมื่อวานด้วยค่ะ
มีความเชื่อเกี่ยวกับศาลเจ้านี้ว่า ถ้าเดินรอบเกาะ Kabushima นี้ 3 รอบ จะสามารถปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากร่างกายได้ และจะโชคดี และยังมีความเชื่อในกลุ่มวัยรุ่นญี่ปุ่นว่าถ้าใครโดนขี้นกอูมิเนโกะ ก็จะโชคดี ความเชื่อนี้มาจากภาษาญี่ปุ่น เพราะคำว่า อุจจาระ ในภาษาญี่ปุ่น เรียกว่าอุนจิ พ้องเสียงกับคำว่า อุน 運 ที่แปลว่าโชค
ศาลเจ้านี้มีความสำคัญอีกอย่างก็คือ ชาวประมงมักมาขอพรที่ศาลเจ้านี้เพื่อให้ออกเรืออย่างปลอดภัย
เราได้เข้าไปข้างในศาลเจ้า เจ้าหน้าที่ก็นำขนมมันจูและชาเขียวออกมาให้เราทาน ขนมมันจูทำพิเศษให้มีรูปร่างเหมือนเกาะคาบุชิมะแห่งนี้ซึ่ง คำว่า คาบุ ของคาบุชิมะ มาจากชื่อผัก หัวคาบุ ที่มีรูปร่างกลมๆ คล้ายขนมมันจูนี้นั่นเอง รสชาติก็หวานกำลังดี และถั่วแดงมีทั้งบดละเอียดและไม่ละเอียดทำให้กัดแล้วมี texture อร่อยกลมกล่อม เข้ากันดีกับชาเขียว
หลังจากทานขนมแล้ว เราจะขึ้นไปข้างบนศาลเจ้า ก่อนขึ้นเราต้องล้างมือ และเช็ดมือก่อนจะขึ้นไปชั้น 2 เพื่อทำพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ล้างและเช็ดมือแล้ว ก็ถึงเวลาขึ้นไปชั้น 2 เพื่อทำพิธีค่ะ เจ้าหน้าที่จะให้ผ้ามาคาดเรา และพระประจำศาลเจ้าก็จะตีกลอง และสวดให้เรา
หลังจากนั้นเราต้องทำความเคารพศาลเจ้า โดยหยิบช่อกิ่งไม้ กลับด้านให้ก้านหันไปทางเทพเจ้า วางที่โต๊ะด้านหน้า โค้ง 2 ครั้ง ตบมือ 2 ครั้ง และโค้งอีก 1 ครั้ง เมื่อกลับที่นั่งก็โค้งอีก 1 ครั้ง
ศาลเจ้าแห่งนี้เพิ่ง renovate หลังจากการไฟไหม้ เพิ่งแล้วเสร็จเมื่อเดือน 3 ที่ผ่านมา ใช้เวลา renovate ถึง 4 ปีครึ่ง ใช้เวลานานเพราะต้องคำนึงถึงช่วงเวลาผสมพันธุ์ของนกอูมิเนโกะเพื่อไม่ให้ทำลายธรรมชาติด้วย
เทพเจ้าประจำศาลแห่งนี้คือ เบนไซเทน ซึ่งเป็นเทพสตรี มีชื่อเสียงเกี่ยวกับงานศิลปะ งานบันเทิง มีรูปสลักของเบนไซเทนบนเพดานและรูปวาดมังกรโดยศิลปินชาวจีน
การก่อสร้างศาลเจ้านี้ต้องใช้ฝีมือของช่างมิยาไดคุ เนื่องจากเสาไม้มีขนาดใหญ่ เสาหลักสูง 9 เมตร หนัก 2 ตัน มีถึง 22 เสา ไม้ทั้งหมดมาจากท้องถิ่น และใช้ฝีมือขั้นสูง ศาลเจ้านี้จึงเป็นงานศิลปะที่สวยงามมากๆ
ภาพมังกร
ภาพเทพเจ้าเบนไซเทน
ของฝากที่พิเศษมากๆ ของที่นี่คือเซียมซีรูปนกอูมิเนโกะ มีคำทำนายอยู่ด้านล่าง และตัวนกสามารถใช้เป็นของตกแต่งน่ารักๆ ได้
ออกมาข้างนอกแล้วเราก็จะเจอกับจุดรับ power spot ด้านหน้า แล้วก็เดินวนรอบเกาะนี้ 3 รอบเพื่อปัดเป่าความชั่วร้ายกันค่ะ
ด้านนอกเราจะเจอเส้นทางเดิน-วิ่ง-จักรยาน ที่มีความยาวถึง 1,000 กม. เริ่มต้นจากจุดนี้ไปจนถึงจังหวัดฟุกุชิมะเลย
จาก Kabushima เรานั่งรถไปต่อกันที่ Kuji Station เพื่อขึ้น SANRIKU RAILWAY รถไฟนี้เป็นรถไฟขบวนเล็กๆ วิ่งเลียบชายฝั่ง เราสามารถชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางได้ ทั้งภาพใบไม้เปลี่ยนสีและวิวทะเล เจ้าหน้าที่อธิบายว่า แต่ละสถานีจะมีชื่อเล่น เช่นสถานี Kuji มีชื่อเล่นว่า kohaku แปลว่า อำพัน เพราะที่นี่สามารถผลิตอำพันได้มาก
ช่วงที่ผ่านมามีสถานีทางผ่านที่เห็นทะเล ซึ่งในช่วงปีใหม่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากนักท่องเที่ยว เพราะสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากทะเลได้ นิยมมากจนต้องจองตั๋วรถไฟกันเลยทีเดียว (คนญี่ปุ่นนิยมการชมพระอาทิตย์ขึ้นครั้งแรกของปี)
ช่วงที่ผ่านสะพาน รถไฟก็หยุดให้เราชมวิวทะเลบนสะพาน และจอดอีกสถานีที่ชื่อว่า Horinai ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่อง Amachan ที่โด่งดังมากเมื่อ 7 ปีที่แล้วค่ะ เชื่อว่าคอละครญี่ปุ่นต้องรู้จักแน่ๆ
ป้ายสถานีที่ใช้ในละคร (Sode Ga Hama)
ป้ายสถานีจริง (Horinai)
มีตู้คอนเทนเนอร์ที่จำลองเหมือนรถไฟ Sanriku railway ด้วยค่ะ
นั่งรถไฟประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็ไปลงรถไฟที่สถานี Iwaizumiomoto ภายในสถานีมีแบบจำลองบ้านแถบชายฝั่งก่อนที่จะโดนสึนามิเมื่อปี 2011 ด้วย
เรานั่งรถยนต์ส่วนตัวจากสถานีมาประมาณ 15 นาที ก็ถึงที่ทานอาหารกลางวัน ที่ร้าน ZENSUKEYA
ร้านนี้เป็นร้านอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงเรื่อง Donko-don หรือข้าวหน้าปลาชุบแป้งทอด ที่พี่ๆ บอกว่าอร่อยมากๆ ส่วนเราที่ทานปลาไม่ได้ เลยสั่งเป็น Oyako-don หรือข้าวหน้าไก่กับไข่ มาเป็นเซตกับซุปมิโสะ รสชาติกลมกล่อมสไตล์ local
สถานที่ต่อไปที่เราจะไปกันก็คือ…
Jodogahama Marinehouse เพื่อไปล่องเรือกัน ไปชมบรรยากาศริมทะเลที่ชื่อว่า อ่าวมิยาโกะ (Miyako bay) ที่นี่มีใบไม้เปลี่ยนสีล้อมรอบสวยมากๆ แค่ได้ยินเสียงคลื่นก็รู้สึกผ่อนคลายบอกไม่ถูก อากาศริมทะเลค่อนข้างเย็น ดังนั้นเพื่อนๆ ที่จะมาที่นี่ในฤดูนี้ ควรแต่งตัวให้อบอุ่นนะคะ
เรือที่ล่องมี 7 ที่นั่ง โดยจะมีคนขับเรือให้เรานั่งชมอย่างเดียว ก่อนไปเราก็ต้องใส่เสื้อชูชีพแล้วก็หมวกก่อน หลังจากนั้นก็ขึ้นเรือได้เลย ระหว่างล่องเรือเราสามารถให้อาหารนกไปพร้อมๆ กันได้ เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากๆ นกจะบินมาจิกอาหารจากมือเราเลย หรือจะโยนไปในทะเลใกล้ๆ ก็ได้ นกค่อนข้างจิกแรง ถ้าใครกลัวต้องโยนไปไกลๆ ตัวหน่อยค่ะ
ระหว่างทางล่องเรือเราผ่านโขดหิน และวิวทิวทัศน์ต่างๆ มีศาลเจ้าอยู่บนโขดหินด้วย และไฮไลท์ก็คือถ้ำที่เราสามารถล่องเรือเข้าไปดูคลื่นกระทบกับผนังถ้ำด้านในได้ ให้ความรู้สึกเหมือนได้ไปผจญภัยเลย และสังเกตได้ว่า น้ำตรงปากถ้ำมีสีเขียวมรกต
เจ้าหน้าที่อธิบายว่าเมื่ออากาศหนาว น้ำจะเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงินเข้ม แต่ช่วงนี้ยังอุ่นอยู่ น้ำเลยเป็นสีเขียวมรกตสวยงามแบบที่เห็น
สังเกตดีๆ มีศาลเจ้าอยู่ด้านบนที่เดินขึ้นไปได้ด้วยค่ะ
โขดหินนี้มีดอกไม้ด้วยนะ
กรุ๊ปเราหลังจากลงเรือ ใส่เสื้อชูชีพและหมวกเหมือนไปตรวจฐานเจาะน้ำมันเลย
หลังจากล่องเรือเสร็จเราก็เดินเลียบหาดมาจนถึง จุดชายหาด Jodogahama เจ้าหน้าที่เล่าว่าที่นี่สวยงามจนมีพระที่ผ่านมาบอกว่าวิวที่นี่สวยเหมือนอยู่ในสวรรค์
ระหว่างทางเดินกลับรถเลียบชายหาด เรามองเห็นโรงแรมอยู่บนเขา ซึ่งก็คือ Jodogahama Park Hotel โรงแรมที่เราจะพักคืนนี้นั่นเอง
พอมาถึงโรงแรม ก็ประทับใจกับบรรยากาศการตกแต่งของโรงแรมที่สวยงามตามแบบเรียวกังของญี่ปุ่นและการบริการที่ดีของพนักงานที่มาต้อนรับ
พอได้กุญแจเข้าห้องก็ยิ่งตื่นเต้นกับห้องเสื่อทาทามิแบบญี่ปุ่น ที่มีโต๊ะอยู่ตรงกลาง และยังมี service เป็นขนมมันจูเพื่อต้อนรับเราอีกด้วย ห้องกว้างขวางมีอุปกรณ์และเครื่องใช้ต่างๆ ครบครัน ตกแต่งสวยงาม และสะอาด น่านอนมากๆ
หลังจากเก็บของที่ห้องแล้ว เราก็ไปที่ห้องอาหารที่ชั้น 2 ของโรงแรมเพื่อทานมื้อเย็นกัน
มีซองเก็บ mask ให้ด้วยนะ
มื้อเย็นของวันนี้เป็นอาหารไคเซกิแบบญี่ปุ่นที่จัดวางอย่างเก๋ไก๋สวยงาม สำหรับเซตอาหารทั่วไปจะมีซาชิมิปลาและกุ้ง สลัดเป็ด appetizer แบบญี่ปุ่น ชาบูชาบูปลาแซลมอนกับปลาฮามาจิ หอยเป๋าฮื้ออบ
อาหารสำหรับคนทั่วไป
อาหารของเราที่ไม่มีปลา
ไฮไลท์อย่างนึงของมื้อนี้คือซุปอิจิโกะนิ ซึ่งเป็นซุปใสใส่อูนิ และสาหร่าย รสกลมกล่อมผู้ดีมากๆ
ส่วนเราที่ไม่ทานปลาก็จะมี beef stew เพิ่มมา รสกำลังดี เนื้อนุ่มสุดๆ ละลายในปาก มาพร้อมกับแครอทและมันฝรั่งนิ่มๆ อีกอย่างนึงที่เพิ่มมาสำหรับคนที่ไม่ทานปลาคือเทมปุระผักรวมและกุ้ง พร้อมกับซอสดาชิ แป้งกรอบๆ กุ้งและผักสดใหม่ เข้ากันกับซอสสุดๆ
สักพักพนักงานก็มาเปิดหม้ออบเป๋าฮื้อและหอยเชลล์ พร้อมกับหั่นหอยเป๋าฮื้อให้เราด้วย เป๋าฮื้อเนื้อเด้งดึ๋ง ไม่คาวเลย ส่วนหอยเชลล์ก็ตัวใหญ่ เนื้อนุ่ม หอมเนยด้วย
อาหารจานต่อไปที่มาเสิร์ฟ ก็คือไข่ตุ๋นอูนิ ไข่ตุ๋นปรุงรสอ่อนๆ ทำให้รู้รสอูนิได้ชัดเจน ตักไปถึงก้นถ้วยมีสาหร่ายเพิ่มความลื่นคอด้วย
ปิดท้ายมื้อนี้ด้วยข้าวอบอูนิ และโซบะ มื้อนี้มีอูนิเยอะมากๆ น่าจะถูกใจคนรักอูนิมากๆ
ส่วนของหวานที่มาท้ายสุดของมื้อเป็นเชอร์เบทองุ่นป่า ได้รสหวานอมเปรี้ยวขององุ่น หอมหวานนัวสุดๆ
หลังจบมื้อเย็น เราก็ได้ไปลองออนเซ็นของที่นี่มาด้วย น้ำร้อนกำลังดี ลงแช่แล้วสบายตัวขึ้นมาก คืนนี้หลับสบายแน่นอนค่ะ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– เที่ยวภูมิภาคโทโฮขุตอนเหนือ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ตอนที่ 2
– เที่ยวภูมิภาคโทโฮขุตอนเหนือ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ตอนที่ 3
– สงกรานต์นี้บินตรงเซนได ไปชมซากุระ หาของอร่อยกินที่โทโฮขุกันเถอะ
– โทโฮขุ (Tohoku) อีสานแห่งญี่ปุ่น
– เที่ยว 3 เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ แห่งภูมิภาค Tohoku ตอนใต้
#เที่ยวภูมิภาคโทโฮขุตอนเหนือ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ตอนที่ 1