หลังจากที่เราได้ไปเที่ยวภูมิภาคโทโฮคุ แบบฝั่งเลียบชายทะเลแปซิฟิกของกันมาแล้ว เรามาชมธรรมชาติที่สวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีกันต่อที่จังหวัดอิวาเตะ
หลังจากที่เราได้ไปเที่ยวฝั่งเลียบชายทะเลแปซิฟิกของภูมิภาคโทโฮคุ และพักค้างคืนที่ใกล้อ่าวมิยาโกะมาแล้ว วันนี้จากโรงแรมที่โจโดกะฮามะ เรานั่งรถขึ้นเหนือ ผ่านภูเขามาที่เมืองโมริโอกะ ในจังหวัดอิวาเตะ เพื่อชื่นชมใบไม้สีแดงกัน
วันนี้อากาศดีมากๆ ฟ้าโปร่งสดใส เจ้าหน้าที่อธิบายเกี่ยวกับสภาพอากาศว่าช่วงฤดูใบไม้ร่วงเข้าสู่ฤดูหนาว ภูมิภาคโทโฮคุฝั่งทะเลญี่ปุ่นจะได้รับลมพัดจากทางจีน ทำให้มีฝนตกและอากาศชื้น เหมือนที่เราไปถึงอาโอโมริวันแรกแล้วมีหมอก แต่ลมพัดมาถึงเทือกเขาที่อยู่ตรงกลางของภูมิภาค ทำให้อากาศแห้งขึ้น พื้นที่ฝั่งทะเลแปซิฟิค (ทางขวาของแนวภูเขา) จึงมีอากาศที่สดใสเป็นส่วนใหญ่
นั่งรถจากที่พักมาประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึงที่แรกของเราในวันนี้ นั่นก็คือ Morioka Castle Ruins Park หรือซากปราสาทโมริโอกะ โดยเราจะเดินผ่านถนนเข้าไปที่ปราสาท ผ่านป่าบ๊วย และเข้าจุดชมวิวของปราสาท ผ่านโคชิคุรุวะ และผ่านอาคารต่างๆของปราสาท ศาลเจ้า ข้ามสะพาน และจบที่ร้าน Azumaya Wanko Soba ที่เราจะไปทานอาหารกลางวันกัน
ปราสาทโมริโอกะ สร้างขึ้นเมื่อปี 1598 สมัยนั้นมีแม่น้ำคิตาคามิ และแม่น้ำนากาทสึไหลผ่าน ปราสาทอยู่ระหว่างแม่น้ำ2สาย เพื่อให้ข้าศึกโจมตีได้ยาก ในช่วง1660 ได้มีการสร้างกำแพงหินขึ้นกันแม่น้ำ
หลังปฏิวัติเมจิ รัฐบาลได้ยึดปราสาทโมริโอกะ และทำลายปราสาท ซากปราสาทก็ไม่ได้รับการดูแลใดๆ จนเกิดเป็นป่ารกร้าง กระทั่งเมื่อปี 1906 รัฐบาลมีนโยบายให้ปรับปรุงพื้นที่ ชาวเมืองจึงได้ปรับเปลี่ยน รีโนเวทพื้นที่นี่ให้เป็นสวนสาธารณะเพื่อให้ชาวบ้านได้มาพักผ่อนกัน
กำแพงหินสวยงามเพราะมีการซ่อมแซมในช่วง1894 โดยทำเครื่องหมายที่หิน เลาะหินออกทั้งหมด แพลนด้วย computer และประกอบใหม่ ดูใกล้ๆ จะเห็นว่าลายหินเหมือนกับ jigsaw ต่อกันเลย สวยงามมากๆ
ตอนเดินผ่าน เราเจออาคารเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเอโดะด้วย เป็นอาคารแห่งเดียวของปราสาทที่ยังเหลืออยู่ เป็นที่เก็บของในการเดินทางของเจ้าเมือง (ไดเมียว) ของโมริโอกะไปเอโดะ เพื่อให้เจ้าเมืองมาอยู่เอโดะ 1 ปี เพื่อให้ใช้เงินในเอโดะ ไม่ให้เก็บเงินที่เมืองท้องถิ่น เพื่อไม่ให้มีใครมีเงินพอจะปฏิวัติ
ระหว่างที่เจ้าเมืองกลับมาอยู่เมืองท้องถิ่น ภรรยาและลูกยังต้องอยู่ที่เอโดะเพื่อเป็นตัวประกัน เจ้าเมืองจึงยังมีอาหารที่เป็นตำหนักน้อย หรือเรียกว่า Ooku ในปราสาทท้องถิ่นของเจ้าเมือง
กำแพงหินภายนอกเราจะเห็นเป็นหินก้อนใหญ่ๆ แต่ข้างในเป็นหินก้อนเล็กๆ เพื่อให้เวลาฝนตก น้ำฝนไหลผ่านหินก้อนเล็กๆ จะได้ซึมซับน้ำไว้ให้ไหลลงดิน กำแพงหินที่เราเห็น ไม่ได้ใช้ตัวเชื่อมอะไรทั้งนั้น ใช้น้ำหนักของหินและรูปร่างของหินเชื่อมต่อกันเอง น่าทึ่งมากๆ กับภูมิปัญญาของชาวเมืองสมัยโบราณ
เราเดินต่อมาจนถึงส่วนของป่าบ๊วย เราเจอเซอร์ไพรส์ในกำแพงหินด้วย เพื่อนๆ หาเจอมั้ยคะว่าอะไรแตกต่างในภาพนี้ (มองดีๆจะเห็นน้องแมวอยู่ในร่องหินค่ะ)
ผ่านป่าบ๊วยมา จะเจออาคารอื่นๆ ของปราสาท ซึ่งมีกำแพงหินล้อมรอบ กำแพงหินที่ล้อมรอบทุกอาคารของปราสาท เป็นสิ่งที่หาดูได้ยาก วิวใบไม้แดงและเหลืองตัดกับสีเขียวสวยงามมากๆ
ต่อมาเราเดินขึ้นบันไดมาที่อาคารหลักของปราสาท (ฮนมารุ) ซึ่งกำแพงหินนี้เป็นกำแพงที่เก่าแก่ที่สุดในปราสาท วิวด้านหน้าอาคารมีใบไม้สีแดงร่วงสวยงามมากๆ ถึงแม้จะยังเปลี่ยนสีไม่เต็มที่ก็ตาม
เจอก้อนหินในกำแพงรูปหัวใจด้วยค่ะ ดูออกกันรึเปล่าคะ
เดินขึ้นมาข้างบนถึงที่อาคารหลัก ครึ่งนึงของพื้นที่นี้เป็นโอโอคุ หรือตำหนักรอง ซึ่งเป็นที่อยู่ของภรรยารองและของไดเมียว และคนรับใช้ รวมกันกว่า 200 คน
ต่อไปเป็นอนุสาวรีย์ของอิชิคาวะ ทาคุโบคุ ซึ่งเป็นกวีที่มีชื่อเสียงที่เกิดที่โมริโอกะ
ศาลเจ้าชินโตโมริโอกะ หรือซากุระยามะซังตามที่ชาวเมืองเรียก ตรงโคมมีลวดลายนกกระเรียน
จากศาลเจ้าเราเดินไปที่ทานอาหารกลางวัน ผ่านแม่น้ำเล็กๆ วิวสวยมากๆ
ผ่านธนาคารอิวาเตะซึ่งเป็นธนาคารเก่า สร้างโดยสถาปนิกคนเดียวกับที่สร้างสถานีโตเกียว ซึ่งธนาคารนี้สร้างเสร็จก่อนสถานีโตเกียว 2 ปี จึงมีลักษณะเป็นอิฐแดงคล้ายกัน ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์
ในที่สุดก็ถึงร้าน Azumaya ที่เราจะทาน Wanko Soba กัน
Wanko Soba เป็นโซบะดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงที่สุดของอิวาเตะ มีความพิเศษที่การเสิร์ฟ คือจะเสิร์ฟโซบะเป็นคำในถ้วยเล็กๆ และจะเสิร์ฟไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะปิดฝาเพื่อบอกว่าอิ่ม โมริโอกะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่อง Wanko Soba และเป็นเมืองหนึ่งที่เป็นจุดกำเนิดของโซบะนี้ ถ้าใครทานถึง 100 ชามก็จะได้แผ่นไม้ที่ระลึกให้ด้วยตามแต่ละร้าน แต่ถ้าทานไม่ถึง เค้าก็จะเขียนในแผ่นกระดาษบอกให้เราด้วยว่าเราทานกี่ชาม ซึ่ง Wanko Soba 15 ชาม จะเท่ากับโซบะขนาดปกติ 1 ชาม
วิธีการเสิร์ฟก็คือ เค้าจะเทโซบะในชามสีแดงเล็กๆ ให้เรา และทานกับเครื่องเคียงก็คือ ไก่สับ เห็ดดอง หัวไชเท้า สาหร่าย และซาชิมิ เมื่อเราอิ่มแล้วก็ปิดฝา แต่ห้ามเปิดๆ ปิดๆ ฝา ปิดได้ครั้งเดียว ผู้หญิงโดยเฉลี่ย ทานได้ 30 – 40 ถ้วย
เมื่อเริ่ม พนักงานจะถือถาดใส่โซบะคำเล็กๆ มา และจะเสิร์ฟลงถ้วยเราไปเรื่อยๆ พร้อมกับร้องว่า จั่ง จั้ง และสู้ๆ นะ เพื่อบิ้วเราให้เราทานได้เยอะๆ ตอนเสิร์ฟ โดยเราต้องนับจำนวนชามที่เราทานเข้าไปเอง โดยใช้ไม้ในกล่องนับ ทีมงานของเราเป็นผู้หญิงทานได้ถึง 50 – 55 ถ้วยแน่ะ ส่วนผู้ชายทานได้ 150 ถ้วย สุดยอดมากๆ เลย
เราไม่ทานปลาเลยสั่งเป็นโซบะเทมปุระมาแทน เส้นเหนียวนุ่มมากๆ รสละมุนกว่าเส้นโซบะของโตเกียว อร่อยมากๆ เลยค่ะ
สำหรับคนที่ทานวังโกะโซบะก็ได้ประกาศนียบัตรจากทางร้านด้วยนะ และมีทีมงานที่ทานเกิน 100 ชาม ก็เลยได้แผ่นไม้ที่ระลึกไปค่ะ
จากอาหารกลางวัน เราไปต่อที่วัดโฮอนจิ ซึ่งโด่งดังเรื่องรูปปั้นพระอรหันต์ 500 องค์ ว่ากันว่าบางองค์หน้าเหมือนเราหรือคนที่เรารู้จักด้วย มาแล้วก็อยากให้เราตามหาใบหน้าที่คล้ายกับเราในนั้นนะ
มาถึงแล้ว หน้าประตูวัด สวยงามมากๆ
ด้านในก็สวยงามมากๆ เลย
วัดนี้มีชื่อเต็มคือ ซุยคิวโฮซังโฮอนเซนจิ (Suikyuhouzanhouonzenji) วัดนี้เป็นนิกายโซโตชู สร้างเมื่อปี 1394
ในวิหารหลัก มีพระพุทธรูป เรียกว่า โกฮนซน มีพระโพธิสัตว์ ฟุเกน มนจุ ขนาบข้าง เมื่อก่อน พระพุทธรูปนี้อยู่ที่นารา และถูกขายไปที่เกียวโต และสุดท้ายถูกซื้อมาอยู่ที่วัดนี้
ต่อไปที่อุโบสถพระอรหันต์ ด้านในมีพระพุทธรูป ที่มาจากที่เดียวกับที่สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ของนารา รอบๆ พระพุทธรูปองค์ใหญ่มีพระอรหันต์ 16 องค์ยืน ส่วนรอบๆ กำแพง มีพระอรหันต์ที่ทำจากไม้แล้วลงรักปิดทองจากเกียวโต ถึง 500 องค์ ซึ่งหายากในญี่ปุ่น เพราะพระพุทธรูปส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมักทำจากหิน บางองค์มีการชำรุดเสียหาย จนในปัจจุบันเหลืออยู่ 450 องค์ พระอรหันต์เหล่านี้มีหน้าตาเหมือนชาวต่างชาติ เพราะเลียนแบบมาจากทำพระสไตล์จีน เช่นองค์ตรงกลางนี้เค้าว่ากันว่าหน้าเหมือน มาร์โคโปโล
พระทำท่าคล้ายท่าซารังเฮของเกาหลี
แต่ละองค์ก็มีหน้าตาและอิริยาบถต่างๆ กันไป
เราไปอีกทางเพื่อชมห้องฝึกปฏิบัติธรรม ซึ่งให้คนทั่วไปมาใช้ฝึกสมาธิได้ฟรี ในวันเสาร์ 1 ทุ่ม ถึง 3 ทุ่ม
ออกจากวัดเราก็ไปยังที่หมายต่อไปของเรา คือหมู่บ้านหัตถกรรมโมริโอกะ Tezukuri Village เนื่องจากในสมัยโบราณ มีปราสาทโมริโอกะ ทำให้คนแถวนี้พัฒนางานฝีมือขึ้นมาเพื่อทำสินค้าขายรอบปราสาท ทำให้หมู่บ้านนี้มีชื่อเสียงเรื่องงานหัตถกรรม เช่น เซมเบ้ การระบายสีภาชนะไม้ ต่างๆ
Morioka Handy Work Square แบ่งเป็น 3 โซน โซนแรกคือศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมท้องถิ่นโมริโอกะ มีร้านขายของฝากที่ผลิตในโมริโอกะ มีคาเฟ่ ขายไอติมเจลาโต้ นันเจระเป็นไอติมสอดไส้ในเซมเบ้จากนัมบุ
เดินออกมาเป็นโซน Handcraft เราสามารถดูช่างฝีมือทำสินค้าต่างๆ ในป้ายที่มีเครื่องหมายมือ เป็นกิจกรรมที่เราสามารถลองทำสินค้าต่างๆ ตามช่างฝีมือได้ด้วย
วันนี้เราจะลองไปทำ นัมบุเซมเบ้ ซึ่งมีลักษณะพิเศษคือนิ่ม และอุ่น ไม่แข็งเหมือนที่เราเห็นทั่วไป
อีกโซนเรียกว่า นัมบุ มาการิยะ เป็นอาคารที่สร้างเมื่อ 200 ปีก่อน เป็นอาคารแบบเก่าที่หาดูยาก ที่ให้ความสำคัญกับม้า ลักษณะเป็นรูปตัว L เป็นที่พักของคนครึ่งนึงและที่พักของม้าครึ่งนึง
รูปที่พักม้า
รูปบ้าน ซึ่งจากในบ้าน เจ้าของสามารถมองเห็นม้าที่เลี้ยงไว้ได้
ต่อไปเราจะไปลองทำ นัมบุ เซมเบ้กันค่ะ เข้าไปด้านในเราจะเห็นช่างฝีมือทำขนมเซมเบ้อยู่ก่อนแล้ว ช่างฝีมือจะตัดแป้งโดเป็นก้อนกลมๆ คลึงแป้งให้บางคล้ายคุกกี้ โรยถั่วในพิมพ์เหล็กร้อน แล้ววางแป้งลงไป ต่อไปก็ถึงคิวเราลองพลิก โดยพลิกทุก 30 นาที 6 ครั้ง เซมเบ้นัมบุไม่เหมือนเซมเบ้ธรรมดา มีความนุ่ม หอมแป้ง และมีรสหวาน รสคล้ายคุกกี้ถั่วเลย
ก่อนกลับ แวะดูร้านของฝาก และลองทานไอติมเจลาโต้ นันจาเระด้วยค่ะ
ไอติมประกบเซมเบ้เป็นแซนวิช ไอติมรสนมไม่ครีมมี่มาก แต่นัวมากๆ อร่อย กลมกล่อม
จากอิวาเตะเราเข้าสู่จังหวัดอาคิตะเพื่อเข้าที่พักของวันนี้ ซึ่งเป็นโรงแรมที่มีออนเซน ใกล้ๆ กับทะเลสาบ Tazawa บริเวณนี้ใกล้กับออนเซ็นนิวโต ที่เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนไทย
โรงแรมห้องกว้างขวาง เป็นโรงแรมแบบเรียวกัง แต่มีเตียงให้ด้วย น่านอนมากๆ
พอเก็บของเสร็จเราก็ลงมาทานอาหารเย็นของโรงแรมที่น่าสนใจมากๆ เราเริ่มมารอเร็วหน่อย ตั้งแต่ตอนห้าโมงครึ่ง เพราะคนต่อแถวรอเยอะมาก
อาหารเย็นวันนี้เป็นแบบบุฟเฟต์ที่ไลน์อาหารเยอะมากๆ มีทั้งซูชิ เทมปุระ สุกี้ยากี้เนื้อที่ให้เรามาทำเอง ไฮไลท์ก็คือปูนึ่งตัวโตๆ น่าทานมากๆ เลย ของหวานก็มีทั้งเค้กและฟองดูช็อคโกแลต น่าทานไปหมด และยังมี Drink Bar โซนเครื่องดื่มที่มีหลากหลาย ซึ่งคอร์สนี้ไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ถ้าใครอยากดื่มก็สั่งมาได้ค่ะ
ก่อนจะกลับขึ้นห้องเพื่อพักผ่อน เราเดินผ่านเลาจ์ของทางโรงแรม มีทั้งตู้กดน้ำอัตโนมัติและเก้าอี้นวด ถ้าใครไปออนเซ็นเสร็จแล้วก็มานั่งพักผ่อนที่นี่ก่อนกลับห้องกันได้
และยังมีร้านขายของฝากที่มีของสะดุดตาเรามาก นั่นก็คือขนมเซมเบ้หน้านายกซูกะ เพราะนายกซูกะ มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอาคิตะนั่นเองค่ะ
เช้าวันรุ่งขึ้น เริ่มต้นวันด้วยร้านน้ำผึ้ง Yamano Honey Shop ซึ่งอยู่ใกล้ๆ โรงแรมที่เราพักเลย น้ำผึ้งที่นี่เป็นน้ำผึ้งชั้นดีที่มาจากดอกไม้หลายๆ ชนิด โดยร้าน Yamano Honey Shop แบ่งเป็น 3 โซน ร้านพิซซ่า ร้านขายขนม และร้านขายน้ำผึ้ง
เจ้าของร้านชี้ให้เราดู บี เสก็ต ซึ่งเป็นกล่องเลี้ยงผึ้งที่วางโชว์อยู่หน้าร้าน ปกติที่อื่นจะใช้กล่องไม้เลี้ยงผึ้ง แต่ที่นี่ใช้กล่องฟาง โดยใช้สะสมน้ำผึ้งในป่า อันเป็นวิธีโบราณตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล บริษัทของร้านนี้เลยใช้ชื่อว่า บี สเก็ต และอาคารก็สร้างเป็นรูปโดม คล้ายบี สเก็ตด้วย คุณเจ้าของร้านยังบอกด้วยว่าได้เลี้ยงผึ้งมากว่า 50 ปีแล้ว
ทะเลสาบทาซาวะเป็นบริเวณที่มีนักท่องเที่ยวมามากที่สุดในจังหวัดอาคิตะ โดยมีคนมาเยี่ยมชมกว่า 2 ล้านคนต่อปี และมีคนมาที่ร้านน้ำผึ้งนี้กว่า 10% ของจำนวนคนที่มาทะเลสาบทาซาวะ ถือเป็นสปอตที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
ของที่ขายดีที่สุดของที่นี่ แน่นอนว่าคือน้ำผึ้ง นอกจากน้ำผึ้งที่ผลิตในประเทศแล้ว ยังมีทั้งน้ำผึ้งจากต่างประเทศ อย่าง ฝรั่งเศส สเปน และฮังการีก็มีขายที่นี่ด้วย ร้านนี้ขายน้ำผึ้งได้ปีละกว่า 75 ตัน ครึ่งนึงเป็นน้ำผึ้งในประเทศ อีกครึ่งนึงเป็นของต่างประเทศ น้ำผึ้งที้ได้รับความนิยมที่สุด คือน้ำผึ้ง อาคาเซีย ที่ได้มาจากดอกอาคาเซีย
นอกจากน้ำผึ้งแล้ว ยังมี Royal Jelly, Propolis Supplement อาหารเสริมที่ทำจากสารสกัดน้ำผึ้ง แยมน้ำผึ้ง ที่ไม่ใส่น้ำตาลเลย หรือมิโซะใส่น้ำผึ้ง เค้กใส่น้ำผึ้ง เครื่องสำอางน้ำผึ้งก็มี ของที่ทำจากน้ำผึ้งละลานตาไปหมดเลยค่ะ
ทีเด็ดของที่นี่คือมี กาจาปอง ราคา 300 เยน สามารถสุ่มน้ำผึ้งได้จากน้ำผึ้งต่างๆ 8 ชนิด คุ้มมากๆ เพราะปกติ ขายราคา 570 เยน
อีกอย่างที่มีกิมมิค ก็คือไอติมน้ำผึ้ง ทางร้านจะให้ทอยลูกเต๋า ถ้าได้เลข 8 ซึ่งภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า ฮาจิ พ้องเสียงกับคำว่าน้ำผึ้ง จะได้ช็อคโกแลตรูปผึ้งแถมบนไอติม 8 ตัว และถ้าใครได้ 8 จะได้ทอยอีกครั้ง ถ้าได้ 8 อีกจะได้ช็อคโกแลตรูปดอกไม้ แก๊งค์เราคนนึงได้ 8 ด้วย ส่วนคนที่เหลือไม่ได้เลข 8 ก็ได้ช็อคโกแลต 1 ตัวไป ไอติมอร่อยมากๆ ไม่หวานมาก กลมกล่อม หอมน้ำผึ้ง
สถานที่ต่อไปที่เราไปกันคือ Lake Tazawa Herb Garden ด้านหลังมีสวน ที่มีทั้งดอกไม้ที่จะบานในฤดูใบไม้ผลิ สมุนไพร และต้นไม้ที่เปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ร่วง มีที่ขายต้นกล้าของดอกไม้ และสมุนไพรให้ซื้อกลับบ้านได้
ตรงกลางอาคารเป็นร้านขายสินค้าประจำท้องถิ่นอาคิตะ และมีร้านอาหารที่โดดเด่นเรื่อง herb tea และอาหารพื้นเมืองของอาคิตะ เราจะเข้าไปในอาคารเพื่อลองทำ Herberium (มาจากคำว่า Herb+Aquarium) หรือดอกไม้ในโหลแก้วกันค่ะ
มาถึง เราก็จะเจอกับโต๊ะที่เตรียมไว้ให้ มีอุปกรณ์ทำคือ โหลแก้ว กรรไกร ที่หนีบ ขวดน้ำมันซิลิโคน ซึ่งน้ำมันชนิดนี้เป็นส่วนผสมที่มีอยู่ในแชมพู จึงไม่อันตรายต่อผิวหนัง และมีดอกไม้แห้งชนิดต่างๆ ที่เราจะใช้ตกแต่งในโหลแก้วของเรา
เริ่มแรกเราเลือกดอกไม้แห้ง 12 ต้น เวลาเลือกมีเทคนิคคือ เลือกดอกยิบโซที่เป็นดอกเล็กๆ ใส่กลับหัวไว้ด้านล่าง จะเสียบดอกไม้ก้านยาวๆ ได้ง่าย เราจะเรียงโดยใส่ดอกไม้ที่ขนาดสั้นลงไปก่อนแล้วเรียงไล่ขึ้นไป
ใส่ดอกไม้เสร็จแล้ว เราก็ใส่น้ำมันลงไป โดยค่อยๆ เอียงขวดเทน้ำมันให้ไหลลงไปตามผนังขวด จนใกล้เต็มจึงตั้งขวดให้ตรง เสร็จแล้วก็ปิดฝา ผูกโบว์ ติดสติกเกอร์ ก็เป็นอันเสร็จ
ทุกคนทำเสร็จ เอามาวางเรียงกัน สวยงามมากๆ
ด้านนอก มีทั้งเครื่องหอมต่างๆ และของฝาก รวมถึงสินค้าทำมือขายเยอะแยะเลย
ถังไม้นี้ มีตั๋วแช่ออนเซ็นนิวโตะ ซึ่งเป็นออนเซ็นน้ำนมที่ได้รับความนิยมมากในแถบนี้ แช่ได้ 3 ครั้ง ราคา 1,500 เยน ครั้งละ 500 เยนเท่านั้น ถือว่าคุ้มมาก
หลังจากเดินดูของฝากแล้ว เราก็เข้ามาในส่วนที่ทานอาหารกัน ความพิเศษของมื้อนี้คือ Herb Tea Bar เป็นบาร์ที่เราสามารถทำชาสมุนไพรได้ด้วยตัวเอง โดยตักสมุนไพรที่เราชอบใส่แก้ว แล้วเทน้ำร้อนใส่
ชาเราใส่ ตะไคร้ ดอกลินเดน เลมอนบาล์ม และสตีเวีย หอมมากๆ มีรสหวานอร่อย
อาหารกลางวันวันนี้เป็นโอยาโกะด้ง ที่ใช้ไก่ฮินาอิจิโดริ ไก่เลี้ยงธรรมชาติที่มีชื่อเสียงมากในจังหวัดอาคิตะ เค้าว่ากันว่า ไก่ฮินาอิ อร่อยติดอันดับ 1 ใน 3 ที่อร่อยที่สุดของญี่ปุ่นเลยนะ ไข่นุ่มมากๆ เนื้อไก่หนึบหนับ เคี้ยวเพลินสุดๆ ค่ะ
สถานที่ต่อไปที่เราจะไปกันก็คือ หุบเขา Dakigaeri ที่มาของชื่อหุบเขานี้ก็คือ เมื่อก่อนทางเดินผ่านในหุบเขานั้นแคบมาก คนที่เดินผ่านสวนกันเลยต้องอุ้ม (ดาคิ) อีกคน แล้วกลับตัว (คาเอริ) เพื่อผ่านทางไป ซึ่งหุบเขานี้มีชื่อเสียงเรื่องการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมาก และมีไฮไลท์เป็นน้ำตกมิคาเอริ
เดินเข้ามาเป็นศาลเจ้าชินโต ดาคิกาเอริ
ผ่านสะพานไม้สีแดงสวยงามมากๆ
ป้ายทางเข้าน้ำตกมิคาเอริ
เดินมาข้างในบรรยากาศดีมากๆ เหมือนป่าในนิทานเทพนิยายเลยค่ะ
จนถึงน้ำตก มิคาเอริ สวยมากกกกก ที่ชื่อว่ามิคาเอริ เพราะแปลว่า สวยมากจนต้องเหลียวหลังกลับมาดูอีก
ที่นี่ถือเป็นไฮไลท์ของทริปเราเลยค่ะ เพราะสวยจนแทบหยุดหายใจเลยจริงๆ ได้บรรยากาศธรรมชาติในเทพนิยายมากๆ เลย
หลังจากชื่นชมใบไม้เปลี่ยนสีจนจุใจแล้ว สถานที่ต่อไปเราจะไปที่เมือง Kakunodate และเล่นกับน้องหมาอาคิตะกันที่ Kakunodate Vacation Rental Enishi ที่นี่เป็นเกสท์เฮาส์ที่เจ้าของเลี้ยงน้องหมาอาคิตะไว้สองตัว น่ารักมากๆๆๆ พันธุ์เดียวกับน้องหมาฮาจิโกะเลย น้องชอบคนมากๆไม่เห่า เป็นมิตรมากๆ น้องชื่อ ซูจัง เพศชาย อายุ 3 ขวบ กับฟูจิโกะ เพศหญิง 2 ขวบ ซูจังคือตัวที่มีคิ้วค่ะ
เล่นกับน้องหมาแล้ว เราก็ไปชมห้องพักกันค่ะ
ห้องพักตกแต่งน่ารักมากๆ สะอาดน่านอน มีการตกแต่งด้วยของตกแต่งรูปน้องหมาอาคิตะ ส่วนราคาก็แล้วแต่ช่วง มีตั้งแต่ 5,000 ถึง 7,000 เยน ไม่รวมอาหาร ลูกค้าสามารถดูวันที่ว่างในเว็บไซต์ได้ เว็บไซต์เป็นภาษาญี่ปุ่น แต่เจ้าของอ่านภาษาอังกฤษได้ ถ้าใครสนใจก็เมล์เป็นภาษาอังกฤษโดยตรงได้เลยค่ะ
ในช่วงเวลาปกติ ถึงจะไม่ได้เข้าพัก เราจ่ายเงิน 100 เยน แล้วก็สามารถเข้ามาเล่นกับน้องหมาได้ แต่เนื่องจากเป็นช่วงโควิด ทางเกสท์เฮาส์จึงอนุญาตให้ผู้เข้าพักมาเล่นกับน้องๆ เท่านั้นค่ะ
ถ่ายรูปกันจุใจแล้ว เราก็มาลองนั่งรถลาก หรือเรียกว่า Rikisha เพื่อชมวิวรอบหมู่บ้านซามูไรกันนะคะ ระหว่างทางคุณลุงที่เข็นรถให้เราก็อธิบายไปด้วยถึงรายละเอียดอาคารที่เรานั่งผ่าน โดยบ้านเรือนแถบนี้เป็นบ้านซามูไรเก่าแก่ และต้นไม้ต่างๆ บางต้นก็อายุมากถึง 2-300 กว่าปีแล้ว ช่วงนี้ใบไม้เปลี่ยนสี ก็จะสวยงามมากๆ เลย
ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่โด่งดังเรื่อง ชิดาเระซากุระ เป็นซากุระที่กิ่งย้อยลงมาจากด้านบน มีไลท์อัพสวยงามมาก ระหว่างวันที่ 20 เมษายน ถึง 1 พฤษภาคม
ระหว่างทางเราเห็นน้องหมาอาคิตะจากช่องไม้ในบ้านด้วย น้องชื่อบุเคมารุ น่ารักเหมือนตุ๊กตาหมี
จากรถลาก เราก็เดินเล่นกันต่อในหมู่บ้านคาคุโนะดาเตะ ซึ่งเป็นหมู่บ้านซามูไร อายุ 400 ปีแล้ว แต่ลักษณะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย ส่วนที่ซามูไรอาศัยอยู่เรียกว่า อุจิมาจิ และส่วนที่พ่อค้าแม่ค้าอาศัยเรียกว่า โทมาจิ
ในเขตอุจิมาจิ จะมีต้นไม้สูงๆ ในขณะที่โทมาจิจะไม่มี เพราะฐานะต่างกัน ซามุไรจะได้รับการอนุญาตให้ปลูกต้นไม้สูงๆ ได้ ยิ่งยศสูงก็ยิ่งสูง ที่ต้องปลูกต้นไม้สูงเพราะแถบนี้หน้าร้อนอากาศร้อนมาก ต้นไม้สูงจะช่วยกันร้อนได้ ต้นไม้ที่นี่ส่วนใหญ่คือต้นโมมิ หรือต้นคริสต์มาส และมีต้นซากุระเยอะมาก ที่เก่าแก่ที่สุด อายุกว่า 300 ปี
วันนี้เราจะเข้าไปในคฤหาสน์ของซามูไร อิชิกุโระ ซึ่งเป็นซามูไรชั้นสูงในสมัยนั้น มีคุณอิชิกุโระ ลูกหลานของตระกูลซามูไรอิชิกุโระ มาต้อนรับ ซึ่งเขาอาศัยที่บ้านหลังนี้ คุณอิชิกุโระเล่าว่าบ้านหลังนี้สร้างมาแล้ว 200 กว่าปี และเป็นบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในบ้านซามูไร 6 หลังที่ยังหลงเหลืออยู่ และเป็นที่เดียวที่ลูกหลานของตระกูลยังอาศัยอยู่ในบ้าน ซามูไรในสมัยก่อน ไม่ได้แค่รบอย่างเดียว ยังมีหน้าที่บริหารงานบ้านเมือง ที่นี่ทำงานเกี่ยวกับการคลัง บรรพบุรุษอิชิกุโระมีฐานะดี ทำให้บ้านมีบริเวณกว้างกว่าที่อื่น
ภาพของใช้ภายในบ้าน ที่เป็นของใช้จริงในสมัยนั้น
เตาทำอาหาร ที่นั่งรวมตัวในฤดูหนาว
สมัยนั้น เจ้าบ้านเป็นคนเดียวที่มีห้องส่วนตัว ลูกและภรรยาจะต้องอยู่รวมกัน (รูปห้องส่วนตัวของเจ้าบ้าน)
ประตูใหญ่ด้านหน้า ก็ใช้ได้แต่ซามูไรเท่านั้น ลูกภรรยาต้องใช้ประตูอื่นๆ (รูปประตูหลัก)
ที่เพดานมีแผงกั้นเรียกว่า รันมะ แกะสลักเป็นรูปเต่า ด้านหลังเราจะเห็นเงาที่ลอดออกไป สวยงามมากๆ
ห้องนั่งเล่นเป็นเสื่อทาทามิแนวเดียวกัน ต่างจากห้องอื่นที่ไม่เรียงกัน เพราะสมัยนั้นต้องนั่งเรียงแถวตามฐานะ
สวนด้านนอก เป็นสวนที่ไม่มีน้ำ เรียกว่าสวนแบบคาเระซานซุย (枯山水) สวยงามมากๆ
ด้านนอกมีช่องเก็บผัก เพื่อไม่ให้ผักเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว ส่วนบูทฟางที่เราเห็น เอาไว้เดินในหิมะ
ห้องเก็บของ
รองเท้าเกี๊ยะสมัยนั้น มีปักหมุดอยู่ข้างล่าง เพื่อไม่ให้ลื่น
กระสอบใส่ข้าว ซึ่งสมัยนั้นมีการจ่ายเงินเดือนเป็นข้าว ตระกูลที่มีฐานะก็จะได้รับข้าวหลายกระสอบกว่าบ้านอื่น
มาอีกห้องนึง เราจะเจอกับห้องเก็บของสำคัญ เป็นหนังสือแพทย์ของโอดาโนะ นาโอตาเกะ
มีรายละเอียดที่แปลจากต้นฉบับภาษาดัชท์เป็นภาษาญี่ปุ่น
เสื้อเกราะและหมวกของซามูไรของตระกูลอิชิกุโระ
หลังจากออกจากหมู่บ้านซามูไรเราก็เข้าที่พักชื่อ Kayokan Hotel โดยเจ้าของโรงแรมได้ออกมาต้อนรับ และพาเราไปชม มาการิยะ หรือบ้านสมัยโบราณรูปตัว L ทำจากไม้ ชาวต่างชาติชอบมาจองพักกันที่นี่มาก
ด้านในของบ้าน มีที่ทานอาหารแบบญี่ปุ่น และสามารถดัดแปลงเป็นที่พักรวมได้ด้วย พักได้ 12 – 15 คน แถมยังสามารถทำกิจกรรมตำโมจิได้ด้วย
มาดูห้องพักของเราคืนนี้กันค่ะ ภายในห้องเป็นห้องไม้เสื่อทาทามิแบบญี่ปุ่น ไม่มีของตกแต่งมากนัก
หลังจากเก็บของในห้องแล้ว เราก็ไปทานอาหารเย็นกัน มีนาเบะคิริทัมโปะ ที่มีชื่อเสียงมากของอาคิตะ ทำจากข้าวอาคิตะบด นวดเป็นแผ่น พันไม้ซูกิโนะ แล้วนำไปย่างถ่าน
เมนูอื่นๆ เป็นอาหารญี่ปุ่นพื้นเมืองของอาคิตะ รสปรุงอ่อนๆ เน้นรสชาติวัตถุดิบ ได้บรรยากาศท้องถิ่น มีเต้าหู้ทอด ไก่ย่างซอสมิโสะ มีรสซันโช ลิ้นรู้สึกชานิดๆ
วันนี้เรียกได้ว่าเราไปมาหลายสถานที่มากๆ ทั้งได้แวะร้านขายน้ำผึ้ง ลองทำ Herbarium ชื่นชมใบไม้เปลี่ยนสีและธรรมชาติน้ำตกที่สวยงาม เล่นกับน้องหมาอาคิตะขนฟูสุดน่ารัก และเที่ยวชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างหมู่บ้านซามูไร ท้ายสุดของวันเหนื่อยๆ แบบนี้ ปิดท้ายด้วยการอาบน้ำแร่แช่ออนเซ็นของโรงแรม เรียกได้ว่าฟินสุดๆ ค่ะ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– เที่ยวภูมิภาคโทโฮขุตอนเหนือ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ตอนที่ 3
– เที่ยวภูมิภาคโทโฮขุตอนเหนือ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ตอนที่ 1
– Aomori ป่าเขียวใบไม้แดง แดนมรดกโลกทางธรรมชาติ
– โทโฮขุ (Tohoku) อีสานแห่งญี่ปุ่น
– เที่ยว 3 เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ แห่งภูมิภาค Tohoku ตอนใต้
#เที่ยวภูมิภาคโทโฮขุตอนเหนือ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ตอนที่ 2 #ใบไม้เปลี่ยนสี