เที่ยวญี่ปุ่นด้วยรถไฟ… ไปกับ JR TOKYO Wide Pass
ทริปนี้เราไปเที่ยวญี่ปุ่นในแถบเขตคันโต และบัตรรถไฟที่ราคาคุ้มค่าและเหมาะสมกับเส้นทางในครั้งนี้ก็คือ JR TOKYO Wide Pass
มาทำความรู้จักกับ JR TOKYO Wide Pass กันสักหน่อย…
JR TOKYO Wide Pass
JR TOKYO Wide Pass เป็นบัตรรถไฟภูมิภาคของ JR EAST ที่ครอบคลุมเส้นทางรถไฟในพื้นที่ถึง 11 จังหวัด และยังเป็นบัตรรถไฟท้องถิ่นที่มีราคาคุ้มค่าที่สุดบัตรหนึ่งของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ซึ่งนอกจากจะใช้โดยสารรถไฟ JR EAST Lines ได้แล้ว ยังใช้กับรถไฟเอกชนอื่นๆ ได้อีกหลายสาย
บัตรรถไฟนี้เป็นแบบใช้ 3 วันต่อเนื่อง ราคา 15,000 เยนสำหรับผู้ใหญ่ และเด็กครึ่งราคา ซึ่งมาพร้อมกับสิทธิพิเศษในการจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าและการจองที่นั่ง ประหยัดเวลา แถมยังสะดวกในการเดินทางแบบสุดๆ จะจองผ่านเว็บไซต์ล่วงหน้า หรือจะไปซื้อที่ตู้จำหน่ายบัตรหรือเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ญี่ปุ่นก็ได้ แนะนำให้ตรวจสอบราคา และศึกษารายละเอียดในเว็บไซต์ให้เรียบร้อยก่อนการเดินทาง…
เว็บไซต์: https://www.jreast.co.jp/multi/th/pass/tokyowidepass.html
3-Day Trip เที่ยวคาบสมุทรอิซุด้วย JR TOKYO Wide Pass
เรามักจะเลือกใช้บัตรรถไฟ JR TOKYO Wide Pass เสมอ เวลาที่ไปเที่ยวคาบสมุทรอิซุ เพราะสะดวกและคุ้มค่า แถมยังมีเส้นทางรถไฟที่วิวดีหลายสายเลย… ครั้งนี้เราก็เริ่มต้นการเดินทางด้วยการไปซื้อบัตรรถไฟ JR TOKYO Wide Pass ที่สถานีโตเกียว (JR EAST Travel Service Center) อีกเช่นเคย ซึ่งจุดนี้มีเคาน์เตอร์บริการที่ครบครัน และมีมุมให้บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวอยู่ด้วย ใครยังไม่แน่ใจว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี ก็มาหาข้อมูลเพิ่มกันได้
เมื่อได้บัตรมาแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่สถานีอิโตะ (Ito Station) กันเลย (^^)/
สถานี Ito เป็นสถานีใหญ่อยู่ทางตอนกลางฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรอิโตะ ถัดลงมาทางใต้ของเมืองอาตามิ ซึ่งเป็นเมืองออนเซ็นที่มีชื่อเสียงของคาบสมุทรแห่งนี้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้อิโตะยังมีจุดชมวิวชายฝั่งทะเลสวยๆ หลายแห่ง (เช่น Jogasaki Coast) รวมถึงจุดชมวิวบนยอดเขาด้วย (Mt. Omuro)
Fruits Parlor Izu Shunmido
มาถึงอิโตะแล้วก็ขอแวะเติมความหวาน ที่ร้านเด็ดหน้าสถานี Ito กันก่อนเลย สถานีนี้ถือเป็นสถานีหลักสถานีหนึ่งของเส้นทางมุ่งสู่ทางใต้ของคาบสมุทร Ito ผู้คนก็จะพลุกพล่านพอสมควร แต่เราสามารถเดินจากสถานีแค่เพียงไม่กี่ก้าว ก็ถึงร้าน Fruits Parlor Izu Shunmido กันแล้ว ร้านนี้เป็นร้านดังประจำถิ่น มีเมนูที่สร้างความสดชื่นดึงดูดลูกค้าอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมนูที่มีผลไม้เป็นส่วนประกอบ และในตอนนี้ ทางร้านมีเมนูเด็ดเป็น “Omuroyama Sweet” ที่เสิร์ฟมาในธีมของชาเขียว & ภูเขาไฟโอมุโระ อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของจังหวัดชิซูโอกะ ที่ตั้งของคาบสมุทรอิซุแห่งนี้ จึงต้องขอลิ้มลองกันดูสักหน่อย
เมนูหน้าตาน่ากิ๊น น่ากินนี้ เป็นพุดดิ้งชาเขียวรูปทรงภูเขาไฟ Omuro ที่ท็อปไว้ด้านบน ส่วนได้ล่างนั้นอัดแน่นไปด้วยของอร่อยๆ อีกมากมาย เป็นการรวมตัวของพุดดิ้งเนื้อเด้งหนึบหนับ ครีมเนื้อเนียนนุ่นละมุน หวานหอม แต่ไม่หวานเลี่ยน ต้องแวะไปลองกันให้ได้นะ
Fruits Parlor Izu Shunmido
ที่ตั้ง: 1-16-13 Yukawa, Ito City, Shizuoka
วันเวลา: เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.00 น. (วันเวลาเปิดให้บริการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้)
การเดินทาง:
เว็บไซต์: https://izu-shunmido.com/
Mt. Omuro
ภูเขาไฟโอมุโระ (Mt. Omuro) เป็นหนึ่งในภูเขาที่มีความสำคัญของคาบสมุทรแห่งนี้ แต่เดิมเป็นจุดเดินทางแสวงบุญและเป็น Power spots ดังนั้นจึงมีทั้งศาลเจ้า Sengen มีพระพุทธรูป Nyorai มี Yatsugatake Jizo ให้ได้แวะสักการะอยู่ระหว่างทางเดินทางบนภูเขา อีกทั้งที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวยอดนิยมอีกด้วย
ในช่วงเวลาที่อากาศเย็นๆ ฟ้าใสๆ บรรยากาศดีๆ เหมาะกับการมาเที่ยวเล่นชมวิวที่ภูเขาโอมุโระแห่งนี้มากๆ ได้เห็นวิวแบบกว้างๆ โล่งๆ ชวนให้หายใจได้เต็มปอด แถมยังมีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ อยู่เพียบ สายถ่ายรูปและสายโพสต์รูปทั้งหลาย น่าจะถูกใจที่นี่กันแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นมุมจากบนกระเช้าแบบนั่งห้อยขา มุมที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ รวมถึงมุมที่เดินชมปากปล่องภูเขาไฟโอมุโระ ถ่ายรูปได้เพลินมากๆ
และขอแนะนำว่าอย่าพลาด! ขนมของดีของที่นี่ เป็นขนมรูปทรงภูเขาไฟที่มาพร้อมรสชาติของชาเขียว อวดความเป็นจังหวัดชิซูโอกะกันสุดๆ ไปเลยล่ะ
Mt. Omuro
ที่ตั้ง: Ito City, Shizuoka
วันเวลา: 09.00 – 17.00 น. (เวลาอาจเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับฤดูกาล)
ค่าบริการ: ค่า Chairlift (ไปกลับ) ผู้ใหญ่ 1,000 เยน เด็ก 6-11 ขวบ 500 เยน
การเดินทาง: จากสถานี Ito หรือ Izu-Kogen นั่งรถบัสของ Tokai Bus ที่มุ่งหน้าส่ง “Shaboten Zoo and Mt. Omuro” ลงป้ายสุดท้าย
เว็บไซต์: https://omuroyama.com/index_en/
Omuro Lunche Onette
ที่บริเวณเชิงเขาโอมุระ ในอาคารสถานี Chairlift (Mt. Omuro Lift House) มีร้านอาหารน่าสนใจอย่าง Omuro Lunche Onette (Omuro Keishokudo) ตั้งอยู่ โดยจะเปิดให้บริการเฉพาะมื้ออาหารกลางวัน มีเมนูให้เลือกหลากหลาย ซึ่งแม้จะเป็นเมนูที่ดูไม่ยุ่งยาก แต่ก็คัดสรรวัตถุดิบมาอย่างดี หน้าตาน่ารับประทาน รสชาติก็ดี และเป็นที่ถูกใจนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในหมู่สาวๆ เมนูยอดนิยมคืออุด้งและข้าวหน้าต่างๆ
หากใครจะมาเที่ยวภูเขาไฟโอมุโระ ขอแนะนำร้านนี้เลย สะดวก อร่อย เป็นที่นิยม และมีราคาที่เหมาะสมจ้า
Omuro Lunche Onette (Omuro Keishokudo)
ที่ตั้ง: 1317-5 Omuroyama Lifthouse 1F, Futo, Ito-shi, Shizuoka 413-0231
วันเวลา: เปิดทุกวัน 10.00 – 16.00 น. (ปิดบริการตาม Chairlift)
ราคา: 1,000 – 3,000 เยน
เว็บไซต์: https://ohmuro-lunche.izu-kukan.com/#section4
Izu Shaboten Zoo
และที่อยู่ไม่ไกลจากเชิงภูเขาไฟ Omuro ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากจะแนะนำอีกแห่ง นั่นก็คือ Izu Shaboten Zoo
สวนสัตว์แห่งนี้มีชื่อเรื่องสัตว์แปลก และไม้อวบน้ำ รวมถึงกระบองเพชร ถือว่าเป็นสวนสัตว์ที่มีเอกลักษณ์พอสมควร ใครที่ชื่นชอบสัตว์แปลกๆ หายาก และสวนสัตว์อื่นไม่ค่อยมี… แนะนำให้มาที่นี่
ในช่วงหนาวๆ เย็นๆ ไฮไลท์ของสวนสัตว์แห่งนี้ก็คือเจ้าคาปิบาร่า ที่จะออกมาโชว์ตัวด้วยการแช่น้ำร้อน ซึ่งก็เป็นการคลายอาการหนาวตามปกติของน้องๆ คาปิบาร่าของสวนสัตว์แห่งนี้ ที่กลายเป็นความน่ารักที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมน้องๆ กันล่ะ
Izu Shaboten Zoo
ที่ตั้ง: 1317-13 Futo, Ito City, Shizuoka 413-0231
วันเวลา: เปิดทุกวัน 09.30 – 16.00 น. (เวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล)
ราคา: ผู้ใหญ่ 2,700 เยน เด็กประถม 1,300 เยน (วันหยุดเสาร์อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ และช่วงพีค ราคาจะปรับขึ้นเล็กน้อย)
การเดินทาง: นั่งรถบัส Tokai Bus จากสถานี Ito หรือสถานี Izu Kogen มาได้ ถ้านั่งแท็กซี่ จากสถานี Izu Kogen จะใช้เวลาประมาณ 10 นาที
เว็บไซต์: https://izushaboten.com/
รถไฟท่องเที่ยว Saphir ODORIKO
Saphir ODORIKO เป็นรถไฟท่องเที่ยวสุดหรู ที่มีเสน่ห์ และทำให้การเดินทางของเรานั้นชิลได้แบบเต็มๆ ถือเป็นทางเลือกในการเดินทางสู่คาบสมุทรอิซุที่น่าสนใจทีเดียว
ซึ่งรถไฟขบวนนี้จะนำเราจากเดินทางจากกรุงโตเกียวสู่ทางใต้ของคาบสมุทรอิซุของจังหวัดชิซูโอกะ และจอดเฉพาะสถานีที่นักท่องเที่ยวให้ความนิยม อาทิเช่น สถานี Atami, สถานี Ito, สถานี Kawazu, และสถานี Izukyu-Shimoda เป็นต้น
เจ้ารถไฟสีน้ำเงินเข้มนี้ (Saphir แปลว่าไพลิน) มีเส้นทางหลายช่วงที่วิ่งเลาะเลียบชายฝั่งทะเล ถือเป็นไฮไลท์หนึ่งของการเดินทางด้วย Saphir ODORIKO เพราะจะได้ชมวิวทะเลแบบมุมกว้าง สบายตา ไปกับที่นั่งมุมดีๆ ซึ่งถ้าเลือกใช้บริการรถไฟขบวนนี้ตลอดเส้นทาง 2.30 ชม. แค่นี้ก็ถือว่าเป็นการนั่งรถไฟท่องเที่ยวเพื่อการชมวิวและพักผ่อนหย่อนใจอย่างเพลิดเพลินที่คุ้มค่ามากๆ แล้วล่ะ (รถไฟ Saphir ODORIKO มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจาก JR Tokyo Wide)
โดย Saphir ODORIKO จะมีการให้บริการ 2 รูปแบบ คือแบบที่ให้บริการทุกวัน จากสถานีโตเกียว ไป-กลับ สถานี Izukyu-Shimoda กับแบบให้บริการตามฤดูกาล เฉพาะวัน หรือวันหยุดต่างๆ ซึ่งต้องตรวจสอบล่วงหน้าก่อนการจองนะ อีกทั้งทุกขบวนของ Saphir ODORIKO เป็นตู้แบบ Green Car ทั้งหมด จึงต้องจองที่นั่งล่วงหน้าเท่านั้น วางแผนเที่ยวกันดีๆ นะจ้ะ (รถไฟ Saphir ODORIKO มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจาก JR Tokyo Wide)
Saphir Odoriko
เว็บไซต์: https://www.jreast.co.jp/multi/th/traininformation/saphir/
* ขอบคุณรูปภาพจาก JR East
Shirahama Shrine
จากสถานีปลายทาง Izukyu-Shimoda ที่อยู่ทางใต้ของคาบสมุทรอิซุ มีสถานีที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้เราไปเที่ยวชมกันได้อยู่เพียบเลย โดยทางชายฝั่งตะวันออกก็จะขอแนะนำเป็น Shirahama Shrine ที่นี่มีมนต์ขลัง!
ใครเป็นสายมูก็ขอแนะนำว่าไม่ควรพลาด Shirahama Shrine ศาลเจ้าที่เจ้าแก่ที่สุดในแถบ Izu ตั้งอยู่ที่เมือง Shimoda จังหวัดชิซูโอกะ โดยที่นี่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่กว่า 2,400 ปี เป็นบรรยากาศของศาลเจ้าชินโตที่ตั้งอยู่ในแถบป่าเขาเขียวชะอุ่ม แต่ก็มีมนต์ขลังของคลื่นลมจากชายฝั่งทะเล (Shirahama Beach) ให้ได้ชมกันด้วย
ศาลเจ้าแห่งนี้บูชาเทพเจ้าถึง 5 องค์ หนึ่งในนั้นคือ “Ikona Hime no Mikoto” ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าองค์ที่สำคัญที่สุดของศาลเจ้าแห่งนี้เลยก็ว่าได้ จนทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้มีอีกชื่อเรียกว่า Ikona Hime no Mikoto Shrine โดยเทพเจ้าองค์นี้คือเทพีแห่งความรัก ความเฉลียวฉลาด และความงดงาม
นอกจากนี้… ภายในบริเวณศาลเจ้าชิราฮามะ ยังมีศาลเจ้าย่อยที่บูชาเทพเจ้าแห่งการแต่งงาน (Benzaiten) อยู่ด้วยนะ ใครที่จะมาขอพรให้มีคู่ หรือขอให้ครอบครัวมีความสงบสุข มีลูกมีหลาน เจริญรุ่งเรือง ก็เชิญที่นี่ได้เลย
ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ยังมีเทศกาลประจำปีที่จะมีขบวนแห่เดินเลาะเลียบชายหาดอย่างมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครอยู่ด้วยนะ น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ
และเสาโทริที่บริเวณชายหาด Shirahama นั้น ก็ควรค่าแก่การไปเยือนนะ ถือเป็น power spot ที่ไม่ควรพลาดในคาบสมุทรแห่งนี้เลยทีเดียว
Shirahama Shrine
ที่ตั้ง: 2740 Shirahama, Shimoda-shi, Shizuoka
วันเวลา: ทุกวัน 09.00 – 16.00 น.
การเดินทาง: นั่งรถบัสจากสถานี Izukyu-Shimoda มาลงที่ป้าย Shirahama Jinja ได้เลย
เว็บไซต์: http://www.ikonahime.com/
Hotel Izukyu
จากชายหาด Shirahama ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้า Shirahama ไม่ไกลนัก มีที่พักดีๆ ราคาไม่แรง เดินทางสะดวกตั้งอยู่ ชื่อว่า Hotel Izukyu เหมาะสำหรับเป็นที่พักในเมืองนี้ ก่อนที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวในบริเวณนี้กันต่อในวันรุ่งขึ้น
ใครที่ชื่นชอบบรรยากาศชายทะเลน่าจะชอบโรงแรมแห่งนี้ เพราะโรงแรมตั้งอยู่หน้าชายหาดเลย โดยมีห้องพักให้เลือกทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบตะวันตก ภายในโรงแรมก็ยังมีห้องอาหารที่ให้บริการทั้งอาหารญี่ปุ่นและอาหารตะวันตกด้วยเหมือนกัน แล้วก็มีห้องแช่น้ำร้อนรวมทั้งแบบอินดอร์และเอ้าท์ดอร์ เรียกได้ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเลยล่ะ
ที่สำคัญโรงแรมแห่งนี้ให้บริการ Free WiFi ในทุกพื้นที่ แล้วก็มีร้านสะดวกซื้ออยู่ไม่ไกลด้วยนะ
Hotel Izukyu
ที่ตั้ง: 2732-7, Shirahama, Shimoda, Shizuoka, 415-0012
เช็คอิน: 15.00 – 18.00 น.
เช็คเอ้าท์: ก่อน 10.00 น.
การเดินทาง: มีบริการ Free Shuttle จากสถานี Izukyu-Shimoda (10 นาที)
เว็บไซต์: https://hotel-izukyu.co.jp/
จุดชมเทศกาลดอกไม้ Kawazu Sakura
ใครที่ชื่นชอบการชมดอกซากุระ ขอบอกเลยว่ามาเส้นทางสู่คาบสมุทรอิซุในฤดูกาลที่เหมาะสม จะต้องไม่ผิดหวังแน่ เพราะแถบนี้มีจุดชมดอกไม้หลายจุดมาก แต่ที่อยากจะแนะนำมี 2 จุดหลักๆ นั่นก็คือที่ Shimogamo Onsen Yunohana Road Station และที่สถานี Kawazu
โดยที่ Shimogamo Onsen นั้น อยู่เป็นจุดชมดอกไม้เลียบแม่น้ำอาโอะโนะ (Aono) มีซากุระอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ Kawazu (สีชมพูเข้ม บานเร็ว บานนาน) และ Yoshino (สีชมพูอ่อนจนเกือบจะเป็นสีขาว บานช้า และโรยเร็ว) รวมกะรแล้วประมาณ 1,000 ต้น ตลอดเส้นทางมีความยาวราวๆ 4.2 กม. แล้วในบางจุดก็จะมีดอกนาโนะฮานะ (สีเหลือง) บานสะพรั่งอยู่ด้านใต้ต้นซากุระในช่วงเดียวกันด้วย ทำให้ได้ภาพสีสันที่ตัดกันอย่างชัดเจนและสวยงาม หรือจะเดินชมซากุระต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้นะ เพราะไม่ไกลกันมากนักก็จะมีทุ่งดอกนาโนะอานะบานสะพรั่งเป็นสิบๆ ไร่เลยทีเดียวล่ะ คุ้มค่าที่ได้มาเยือนอย่างแน่นอน
แล้วที่นี่ยังมีร้านค้าจำหน่ายสินค้าจากเกษตรกรท้องถิ่น อาหาร ของฝากของที่ระลึกมากมาย รวมทั้งในช่วงค่ำก็ยังมีการแสดงไฟ หรือ Light-up อีกด้วย
Shimogamo Onsen Yunohana Road Station
ที่ตั้ง: Shimongamo, Minamiizu, Kamo District, Shizuoka
วันเวลา: กุมภาพันธ์ – ต้นมีนาคม 09.00 – 17.00 น.
ค่าเข้าชม: ฟรี!
การเดินทาง: นั่งรถบัส (Tokai Bus) จากสถานี Izukyu-Shimoda ที่มุ่งหน้าสู่ Shimogamo ไปลงที่ป้าย Kujobashi (25 นาที) แล้วเดินเท้าประมาณ 1 นาทีก็จะถึง Shimogamo Onsen Yunohana Road Station
เว็บไซต์: https://www.minami-izu.jp/?p=we-page-top-1
สำหรับจุดชมซากุระอีกแห่งที่จะไม่แนะนำไม่ได้เลยนั้น อยู่ทางชายฝั่งตะวันออกค่อนไปทางใต้ของคาบสมุทรอิซุ เป็นที่ตั้งของเมืองที่มีชื่อเสียงในการชมดอกไม้มากๆ นั่นก็คือเมืองคาวาซุ (Kawaza) ซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองออนเซ็น ที่เป็นต้นกำเนิดของซากุระสายพันธุ์เฉพาะที่เรียกว่า Kawazu Sakura และมีอยู่เป็นจำนวนมากเลยด้วย เสน่ห์ของซากุระสายพันธุ์นี้ก็คือ ที่มาของชื่อเล่นที่ว่า “ซากุระฤดูหนาว” เพราะ Kawazu Sakura จะบานในช่วงปลายฤดูหนาว ก่อนเข้าฤดูใบไม้ผลิ หรือก็คือจะบานในช่วงเวลาเดียวกันกับดอกบ๊วยนั่นเอง ใครที่อยากเลี่ยงค่าตั๋วเครื่องบินแพงๆ ในช่วงฤดูท่องเที่ยวอย่างฤดูใบไม้ผลิ แต่อยากชมซากุระ ขอแนะนำแรงๆ ให้มาชมซากุระฤดูหนาวที่นี่เลย!
โดยที่จุดชม Kawazu Sakura นั้น อยู่ไม่ไกลจากสถานี Kawazu สามารถเดินไปชมกันได้ง่ายๆ แบบใกล้ชิด ใต้ต้นกันเลย แถม ณ จุดนี้ยังมีการจัดเทศกาลชมดอกซากุระขึ้นเป็นประจำทุกปี มีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย ตลอดเส้นทางชมซากุระริมแม่น้ำคาวาซุ เป็นความยาวถึงราว 4 กิโลเมตร และในช่วงค่ำก็ยังมี Light-up เพิ่มบรรยากาศการชมซากุระยามค่ำคืนอีกด้วย
จุดนี้เป็นสถานที่ชมซากุระที่มีเสน่ห์มากๆ แนะนำให้มาเที่ยวชมกันนะจ้ะ (^^)
Kawazu Cherry Blossom Festival
ที่ตั้ง: ริมแม่น้ำ Kawaza, สถานี Kawaza, จังหวัดชิซุโอกะ
วันเวลา: กุมภาพันธ์ – ต้นมีนาคม (1 – 28 กุมภาพันธ์ 2025)
ค่าเข้าชม: ฟรี!
การเดินทาง: เดินจากสถานี Kawazu ไปประมาณ 3 นาที
เว็บไซต์: https://www.kawazu-onsen.com/eng/files/images/pdf/Kawazu-zakuraCherryBlossomFestival.pdf
Okuiro Yusuge Park – Cape Aiai
Yusuge Park อยู่ทางตอนใต้สุดชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิซุ ภายในเขตอุทยานทางธรณีวิทยาแห่งคาบสมุทรอิซุ (Izu Peninsula Geopark) โดยที่บริเวณชายฝั่ง Okuiro มีจุดชมวิวชายฝั่งมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยโขดหินและหน้าผาที่สวยงามตามธรรมชาติอยู่ คือแหลมไอไอ (Cape Aiai หรือ Aiai Misaki) วิวท้องฟ้าจรดน้ำทะเล พร้อมชะง่อนผา และเกาะแก่งใหญ่น้อย เพิ่มเสน่ห์ให้กับที่นี่ได้เป็นอย่างดี
จุดนี้นักท่องเที่ยวนิยมมาชมพระอาทิตย์ตกดินกันมาก เพราะบรรยากาศพระอาทิตย์สาดแสง แล้วค่อยๆ ลับขอบฟ้าไปกับพื้นน้ำ โดยมีฉากเงาของเกาะแก่งต่างๆ ในบริเวณนี้ช่วยแต่งแต้มสีสันทำให้ดูโรแมนติกมากๆ
ในช่วงฤดูร้อน ไฮไลท์ของที่นี่คือทุ่งดอกลิลี่ป่าสีเหลือง ซึ่งจะบานสะพรั่งในช่วงบ่ายแก่ๆ ถึงช่วงเวลาเย็น จึงเหมาะมากที่จะมาเยือนที่แหลมแห่งนี้ในช่วงเวลานั้น พร้อมกับชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปด้วย
แล้วก็อย่าลืมมาลั่นระฆังแห่งการพบเจอกันด้วยนะ ก็แหลมไอไอนั้นได้ชื่อมาจากตัวอักษรคันจิสองตัว ไอ (愛) ตัวแรกหมายถึงความรัก ไอ (逢) ตัวที่สองหมายถึงการพบเจอ เป็นชื่อที่ดีเลยว่ามั้ย
Okuiro Yusuge Park – Cape Aiai
ที่ตั้ง: Irozaki, Kamogun, Minamiizucho, Shizuoka
วันเวลา: เปิดทุกวัน (แนะนำช่วงบ่ายถึงค่ำ โดยเฉพาะช่วงต้นก.ค. ถึงกลางส.ค. เพื่อชมทุ่งดอกลิลลี่)
การเดินทาง: นั่งแท็กซี่จากสถานี Izukyu-Shimoda มาได้ (30 นาที)
เว็บไซต์: https://www.guidoor.jp/en/places/469
South Point Café & Gift
อีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือน Cape Aiai นั่นก็คือคาเฟ่สุดเก๋ South Point Cafe & Gift โดยเจ้าของร้านชาวอังกฤษ ที่สร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่มเด็ดๆ พร้อมกับเบเกอรี่ เค้ก และไอศกรีมแบบโฮมเมดไว้รอต้อนรับนักท่องเที่ยว เราได้ลองชิมมาบ้างแล้ว ถือว่าเด็ดหลายเมนูเลยนะ
เมนูแนะนำของทางร้านส่วนใหญ่จะเป็นเมนูปั่น อาทิ ม็อคค่าปั่น คาราเมลปั่น ผลไม้รวมปั่น เป็นต้น นอกจากนี้ทางร้านยังมีของที่ระลึกทำมือ (Handmade) เก๋ๆ จำหน่ายด้วยนะ ไปอุดหนุนกันได้
South Point Café & Gift
ที่ตั้ง: 1839-1 Ikenohara, Iruma, Minamiizu Town, Shizuoka
วันเวลา: 10.00 – 18.00 น. (16.00 น. ช่วง low season) / 10.00 น. – พระอาทิตย์ตกดิน ในวันเสาร์อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ / ปิดทุกวันอังคาร
การเดินทาง: นั่งแท็กซี่จากสถานี Izukyu-Shimoda มาได้ (30 นาที)
เว็บไซต์: https://www.instagram.com/aiai_southpoint/
Shimoda Ropeway
จุดนี้อยู่ติดกับสถานีรถไฟ Izukyu-Shimoda สถานีสุดท้ายที่เราสามารถใช้พาส JR Tokyo Wide Pass เดินทางมาถึงได้ เป็นสถานีรถไฟที่อยู่ใต้สุดแล้วของคาบสมุทรอิซุ ใต้กว่านี้… ก็ไม่มีสถานีรถไฟแล้วล่ะนะ ซึ่งก่อนที่จะเดินทางย้อนกลับขึ้นสู่ตอนบนของคาบสมุทรฯ ก็ขอแนะนำให้ขึ้น Shimoda Ropeway ขึ้นสู่ยอดเขาเนสึกาตะ (Mt. Nesugata) ไปชมวิวทิ้งทวนกันสักหน่อย
สำหรับ Shimoda Ropeway นั้น เป็นกระเช้าลอยฟ้าที่จะพาเราเดินทางจากหน้าสถานี Izukyu-Shimoda ขึ้นสู่ยอดเขา Nesugata ได้อย่างสะดวกสบาย ด้านบนภูเขาเป็นจุดชมวิวท่าเรือ Shimoda มีไฮไลท์คือ “เส้นทางเดินสู่การแต่งงาน” ที่ถูกรังสรรค์ให้ทางเดินสองข้างทางเป็นทั้งจุดชมดอกไม้ จุดถ่ายรูป จุดนั่งเล่นพักผ่อน รวมถึงจุดชมวิว ฯลฯ แล้วยังนำไปสู่วัด Aizendo หรือวัดแห่งการแต่งงานที่อยู่บนยอดเขา บรรยากาศมีเสน่ห์มาก สมแล้วที่เป็น Power Spot of Love เห็นไหมล่ะ ว่าจุดนี้ก็ไม่ควรพลาดกันนะ มาขอพรเรื่องความรักกันจ้ะ 😉
มาถึง Shimoda แล้ว… ก็อย่าพลาดใช้บริการ Shimoda Ropeway (ราคาไปกลับ 1,500 เยน) แล้วมาขอพรเรื่องความรักกันนะจ้ะ
Shimoda Ropeway
ที่ตั้ง: 1-3-2 Higashihongo, Shimoda City, Shizuoka 415-0035
วันเวลา: 08.45 – 16.45 น. (ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ) ให้บริการทุก 15 นาที (เปิดให้บริการตั้งแต่ 16 ต.ค. – 15 มี.ค.)
ค่าบริการ: ผู้ใหญ่ 1,500 เยน (ไป–กลับ) เด็กประถม ครึ่งราคา
การเดินทาง: เดินไม่ถึง 1 นาที จากสถานี Izukyu-Shimoda
เว็บไซต์: https://www.ropeway.co.jp/wp/
Shimoda Tokeidai Front
ร้านอาหารที่จะขอแนะนำในบริเวณนี้ ตั้งอยู่ที่อาคารที่เป็นหอนาฬิกาด้านหน้าสถานี Izukyu-Shimoda เลยทีเดียว ชื่อว่าร้าน Shimodo Tokeidai Front (แหม… ชื่อแปลตรงๆ ตัวเลยนะ) และยังเป็นร้านที่เปิดพร้อมๆ กับที่สถานีนี้เปิดให้บริการเลยด้วยนะ กิมมิคมาเต็มมาก! จุดนี้เป็นทั้งร้านของฝาก และร้านอาหารเลยล่ะ โดยทางร้านอยากจะบอกผู้ที่มาเยือนให้จดจำรสชาติของเมืองชิโมดะ และนำของฝากจากชิโมดะกลับบ้านไปด้วย พร้อมกับเชิญชวนผู้ที่ได้รับของฝากให้รู้สึกอยากมาเยือนที่เมืองนี้ด้วย อะไรประมาณนั้น…
สำหรับอาหาร เมนูที่เชิดหน้าชูตาประจำร้านก็คือ ข้าวหน้าปลาคินเมได และปลาอาจิ เสิร์ฟมาในสไตล์ Sugatazushi หรือซูชิที่คงรูปร่างดั้งเดิมของปลาที่เสิร์ฟเอาไว้ โดยใช้ปลาที่จับได้สดๆ จากท่าเรือชิโมดะนั่นเอง โดยจะย่างให้ได้กลิ่นหอม เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวซูชิที่ผสมน้ำส้มสายชูญี่ปุ่น เพิ่มความสดชื่น ทำให้รสชาติกระจายในปากเวลาที่เคี้ยว นิยมกินคู่กับเกลือชิโมดะ ผลผลิตชั้นเลิศจากทะเลของอิซุ รวมถึงวาซาบิสดจากภูเขาของอิซุอีกหนึ่งของขึ้นชื่อของคาบสมุทรแห่งนี้
และอีกหนึ่งเมนูแนะนำที่น่าลิ้มลอง… ชาชูด้ง (ข้าวหน้าหมูชาชู) เมนูรสชาติเข้มข้น เหมาะสำหรับสาย
Shimoda Tokeidai Front
ที่ตั้ง: 1-5-2 Higashihongo, Shimoda, Shizuoka 415-0035
วันเวลา: ร้านอาหารเปิดทุกวัน 10.30 – 16.30 น. (รับออเดอร์สุดท้าย 16.00 น.) ร้านค้าเปิดทุกวัน 09.00 – 17.30 น.
เว็บไซต์: http://www.front-shimoda.jp/index.html
https://www.instagram.com/shimodatokeidai
Atagawa Tropical & Alligator Garden
สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัว ทางชายฝั่งตะวันออกตอนกลางของคาบสมุทรอิซุ แต่เดินทางง่ายมากๆ เพราะเดินแค่ 2 นาทีจากสถานี Izu-Atagawa ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองออนเซ็นอีกแห่งหนึ่งขอบคาบสมุทรแห่งนี้ที่เหมาะกับการมาพักผ่อนมากๆ
โดยสวน Atagawa Tropical & Alligator Garden แห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งแหล่งรวมสัตว์แปลก และพืชพันธุ์ที่พบเห็นไม่ได้ง่ายๆ นักในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีสัตว์ในเขตร้อนอย่างจระเข้ (มีถึง 16 สายพันธุ์) และพะยูนเป็นไฮไลท์ อีกทั้งสัตว์หลายๆ สายพันธุ์ของที่นี่ก็จัดว่าอยู่ในภาวะเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ เรียกว่าหาชมได้ยากจริงๆ
นอกจากนี้ยังมีเจ้าแพนด้าแดงตะวันตกสุดน่ารัก เป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี แถมที่นี่ยังเป็นสวนสัตว์ในญี่ปุ่นเพียงแห่งเดียวที่มีสายพันธุ์นี้ เรียกว่าเป็นที่รวมของไม่ธรรมดาเลยล่ะนะ
Atagawa Tropical & Alligator Garden
ที่ตั้ง: 1253-10 Naramoto, Higashiizu, Kamo District, Shizuoka 413-0302
วันเวลา: เปิดทุกวัน 09.00 – 17.00 น.
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 2,000 เยน เด็กอายุ 4 ขวบ ถึงเด็กนักเรียนชั้นประถม 1,000 เยน
การเดินทาง: เดิน 2 นาทีจากสถานี Izu-Atagawa
เว็บไซต์: https://bananawani.jp/english/
Onsen Ashiyu Yunohana Park
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวใกล้สถานี Izu Atagawa ใกล้ยิ่งกว่าใกล้แบบว่าเดินนาทีเดียวถึงกันเลย สำหรับ Onsen Ashiyu Yunohana Park จึงถือเป็นจุดพักเท้า จุดเดินเล่น ยืดแข้งยืดขาสำหรับผู้ที่เดินทางด้วยรถไฟมาไกลๆ แล้วอยากเดินผ่อนคลายดูสักหน่อย ที่นี่นับว่าเหมาะทีเดียว
ความน่าสนใจของที่นี่ ก็คือการได้มาแช่เท้า (Ashiyu) ในบ่อน้ำร้อนกลางสวนสาธารณะ และการซื้อไข่มาแช่น้ำพุร้อน (ฟองละ 100 เยน มาพร้อมตาข่ายสำหรับแช่น้ำพุร้อน ถ้วยใส่ไข่ และเกลือเพื่อเพิ่มรสชาติ) แล้วแชร์ความสนุก ความอร่อยกับเพื่อนๆ นี่แหล่ะ (^^)
Onsen Ashiyu Yunohana Park
ที่ตั้ง: 966-13 Naramoto, Higashiizu, Kamo District, Shizuoka 413-0302
วันเวลา: เวลา 09.30 – 17.00 น. (แช่เท้าออนเซนและต้มไข่ออนเซน)
ค่าเข้าชม: ฟรี! (แช่เท้าก็ฟรี!)
การเดินทาง: เดิน 1 นาที จากสถานี Izu-Atagawa
เว็บไซต์: https://atagawa.net/databox/data.php/guide_yunohanapark_en/code
Atagawa Prince Hotel
โรงแรมดีๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานี Izu-Atagawa เช่นเดียวกัน มีห้องพักสไตล์ญี่ปุ่นที่มีเสน่ห์เหมาะกับการมาพักผ่อนจริงๆ สมแล้วที่อยู่ในเขตเมืองออนเซ็น พร้อมบริการอาหารที่สดใหม่จากวัตถุดิบท้องถิ่น แต่ละเมนูหน้าตาน่ารับประทาน แถมรสชาติก็ดีมากๆ อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีวิวมุมสูงจากห้องพัก รวมถึงจากห้องออนเซ็นที่มองเห็นวิวทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา วิวดี มีความโรแมนติกอยู่นะ
ที่นี่มีห้องพักให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบญี่ปุ่น (เฉพาะแบบญี่ปุ่นก็มีให้เลือกไม่น้อยแล้ว) และแบบตะวันตก และไฮไลท์ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของโรงแรมแห่งนี้ก็คือ มีอ่างแช่ออนเซ็นแบบส่วนตัวในห้องพักของตัวเองที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้อย่างเต็มๆ ตาด้วย ใครมาพักที่นี่ น่าจะรู้สึกได้ถึงความชิลและความฟินไปพร้อมๆ กันเลยล่ะ
Atagawa Prince Hotel
ที่ตั้ง: 1248-3 Naramoto, Higashiizu-cho, Kamo-gun, Shizuoka
การเดินทาง: สามารถเดินจากสถานี Izu-Atagawa มาได้เพียง 10 นาที แต่เส้นทางเดินค่อนข้างชัน ดังนั้นแนะนำให้โทรไปโรงแรมเมื่อมาถึงสถานี แล้วทางโรงแรมจะจัด minibus มารับถึงสถานีเลย
เว็บไซต์: https://www.atagawa-prince.co.jp/
Mt. Komuro
หนึ่งในจุดชมภูเขาไฟฟูจิเจ๋งๆ จากคาบสมุทรอิซุตอนบนทางชายฝั่งตะวันตก ก็คือที่ Mt. Komuro ซึ่งจุดชมวิวบนยอดเขา Komuro นั้นอยู่ในเขตเมือง Ito จังหวัดชิซูโอกะ ด้วยความสูงไม่มาก เพียงแค่ 321 เมตรเท่านั้น แต่วิวดี สามารถมองเห็นวิวเมืองอิโตะได้แบบ 360 องศา มองเห็นมหาสมุทรได้ในมุมกว้าง และในวันที่ฟ้าเปิด อย่างเช่นในช่วงฤดูหนาว ก็จะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ในมุมมองที่สวยจริงๆ
ด้านบนยอดเขามีความเป็นสวนสาธารณะร่มรื่น มีดอกไม้ใบหญ้า รวมถึงทุ่งหญ้าราบๆ จึงมีมุมถ่ายรูปดีๆ อยู่โดยรอบ ไฮไลท์คือมุมบนสะพานทางเดิน Komuroyama Ridge Walk “MISORA” ความยาวถึง 166.3 เมตร และยังมีคาเฟ่ Cafe 3 2 1 Komuroyama ซึ่งมีจุดชมวิวเฉพาะของทางร้าน บรรยากาศดี น่านั่งชิล ชมวิวเพลินๆ อยู่ด้วย
การขึ้นไปชม Mt. Komuro นั้น ก็ไม่ยาก เราสามารถดื่มด่ำกับการนั่งห้อยขาสบายๆ บนแชร์ลิฟต์ (Chairlift) ไปจนถึงยอดเขาได้เลย (5 นาที) จุดนี้เป็นสถานที่ชมภูเขาไฟฟูจิที่ขึ้นชื่อจุดหนึ่ง แนะนำเลย และบริเวณเชิงเขา Komuro ก็มีสวนสาธารณะ Komuroyama Park ที่มีดอกไม้ให้ชมความงามตลอดทั้งปี ถ้ามาเที่ยวจุดนี้ ก็แวะไปเที่ยวชมกันได้
Mt. Komuro
ที่ตั้ง: 1428 Kawana, Komuroyama, Ito, Shizuoka 414-0044
วันเวลา: กระเช้าเปิดทุกวัน 09.30 – 16.00 น. คาเฟ่เปิดเวลา 10.00 – 16.00 น. (อาจเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล และสภาพอากาศ)
ค่าเข้าชม: ฟรี! มีค่ากระเช้าไปกลับ ผู้ใหญ่ 800 เยน เด็กประถม 100 เยน
การเดินทาง: จากสถานี Ito นั่ง Tokai Bus ไปลงที่ป้าย Komuroyama Lift ได้เลย (25 นาที)
เว็บไซต์: https://itospa.com/spot/detail_54327.html
Tokaikan
Tokaikan อีกหนึ่งสถานที่น่าแวะเที่ยวชมในเมืองอิโตะ เพราะที่นี่เป็นเรียวกังเก่าแก่ที่คงสถาปัตยกรรมของอาคารไม้แบบโบราณของญี่ปุ่นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ทั้งโครงสร้าง ดีไซน์ ผีมือการตกแต่ง และวัตถุดิบจากไม้สนชั้นดี สะท้อนให้เห็นถึงฝีมือของช่างฝีมือยุคเก่าผู้ก่อสร้าง รวมถึงความที่ที่นี่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูในฐานะที่พักแรมที่มีบริการห้องออนเซ็นได้ดีเลยทีเดียว
Tokaikan เปิดให้บริการเป็นที่พักแรมพร้อมห้องออนเซ็นรวม มาตั้งแต่ปี 1928 แล้วก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ปัจจุบัน Tokaikan เปิดให้เข้าในลักษณะของพิพิธภัณฑ์ ไม่ได้ ยังเปิดให้บริการห้องออนเซ็นรวมอยู่ โดยเปิดบริการเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น
Tokaikan
ที่ตั้ง: 12-10 Higashimatsubaracho, Ito-shi, Shizuoka 414-0022
วันเวลา: 09.00 – 21.00 น. ปิดทุกวันอังคารที่ 3 ของเดือน (อาจมีการเปลี่ยนแปลง) / ห้องออนเซ็น เปิดบริการเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ และหยุดนักขัตฤกษ์ 11.00 – 19.00 น.
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 200 เยน เด็ก 100 เยน / ค่าบริการห้องออนเซ็น ผู้ใหญ่ 500 เยน เด็ก 300 เยน
การเดินทาง: เดินเท้าจากสถานี Ito มาได้ โดยใช้เวลาประมาณ 7-10 นาที
เว็บไซต์: https://itospa.com/spa/detail_54227.html
https://itospa.com/spot/detail_52002.html
Ito Marine Town Roadside Station
จุดพักรถที่มีบริการหลากหลายรูปแบบ แบบครบวงจร แล้วก็โดดเด่นทุกแบบเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของร้านอาหาร ร้านของฝาก มีให้บริการห้องแช่ออนเซ็น (แช่เท้าก็ได้) มีให้บริการล่องเรือชมโลมา รวมไปถึงศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว และบริการอีกหลากหลาย
Ito Marine Town เปิดบริการมาตั้งแต่ปี 1990 ในชื่อ “Shiroishi Marine Town” โดยวางแผนว่าจะสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และเมืองท่าชาวประมง แล้วก็โปรโมทอุตสาหกรรมท้องถิ่น รวมถึงเพื่อปรับปรุงเมืองแห่งนี้ให้ดูดีเป็นที่รู้จักมากขึ้น
และปัจจุบันก็เป็นอย่างที่เห็น Ito Marine Town หมู่อาคารสีสันสดใสแห่งนี้ กลายเป็นศูนย์รวมหลายๆ อย่าง มีอาหารทะเลสดๆ มากมาย มีร้านของฝาก มีสถานที่ให้ผ่อนคลาย (ห้องออนเซ็น) และสนุกสนาน (ตู้กาจาปองอลังการมาก) รวมถึงบริการล่องเรือ ทำให้เพลิดเพลินได้ทั้งบนบกและในทะเล สถานที่แห่งนี้ จึงไม่ใช่แค่ Roadside Station แต่เป็น Marine Station ด้วย
Ito Marine Town Roadside Station
ที่ตั้ง: 571-19 Yukawa, Ito City, Shizuoka 414-0002
วันเวลา: เปิดทุกวัน ร้านของฝาก* 09.00 – 18.00 น. / ร้านอาหาร* 11.00 – 20.00 น. / ห้องออนเซ็น (แช่เท้า) 10.00 – 16.00 น. / ห้องอาบน้ำสาธารณะ 05.00 – 21.00 น. / ล่องเรือชมโลมา 09.40 – 15.40 น. / ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว 09.00 – 18.00 น. (อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล) * หมายเหตุเวลาเปิดปิดขึ้นอยู่กับแต่ละร้านค้า
การเดินทาง: จากสถานี Ito สามารถนั่ง Tokai Bus ที่มุ่งหน้าสู่ Marine Town มาได้ (5 นาที) มีรถออกทุก 15 นาที
เว็บไซต์: https://ito-marinetown.co.jp/
Izusan Shrine
ศาลเจ้าอิซุซัง (Izusan Shrine) เป็นศาลเจ้าสำหรับคู่รัก มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4-5 ที่นี่เป็นเสมือน Hot Spot for Love หรือศูนย์รวมโชคลาภแห่งความรัก ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาในบรรยากาศร่มรื่นของเมืองอาตามิ เมืองออนเซ็นเก่าแก่ทางชายฝั่งตะวันออกตอนบนของคาบสมุทรอิซุ
ไฮไลท์ของที่นี่อย่างหนึ่งคือการเดินขึ้นบันไดหินสูง 837 ขั้น (เริ่มจากบริเวณเชิงเขาตรง Hashiriyu Onsen) อารมณ์ประมาณว่าเป็นการเดินแสวงบุญขึ้นไปขอพรยังตัวศาลเจ้าที่อยู่ด้านบน ที่นี่บูชาเทพเจ้าแห่งบ่อน้ำพุร้อน รวมถึงเทพเจ้าแห่งไฟ (บริเวณนี้มีภูเขาไฟตั้งอยู่เยอะ) แต่ศาลเจ้าแห่งนี้กลับได้รับความนิยมสำหรับคู่รักอย่างมีนัยยะมากเลยทีเดียวล่ะ
อีกเรื่องราวของศาลเจ้าแห่งนี้ก็คือ มังกรคู่ขาวแดง (Hashiyuzan Engi) ที่เชื่อกันว่าทอดตัวยาวจากทะเลสาบอาชิ (Lake Ashi) ในเมือง Hakone และมีส่วนหัวลอดผ่านภูเขา Izuyama มายังที่แห่งนี้ โดยถือว่ามังกรแดง (พลังไฟ) และมังกรขาว (พลังน้ำ) เป็นเทพผู้พิทักษ์และสร้างสรรค์น้ำพุร้อนให้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้
ถ้ามีโอกาส… ภายในบริเวณศาลเจ้า จะมีหินก้อนหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายกับการซ้อนทับกันอยู่คล้ายม้านั่ง เรียกว่า Yoritomo and Masako Meeting Stone เป็น Power Spot สำหรับการหาคู่ตามตำนานที่เล่าขานกันมาของศาลเจ้าแห่งนี้ และอย่าพลาดจุดชมวิวเมืองอาตามิจากศาลเจ้าบนยอดเขา นอกจากวิวเมือง ยังเห็นวิวทะเลของเมืองอาตามิได้อีกด้วยนะ ไปชมกันได้
นอกจากจะได้มาชมวิวสวยๆ แล้ว ก็ได้ขอพรให้ความรักยืนยาว ขอให้ได้คู่ครองตามที่หวังกันนะ
Izusan Shrine
ที่ตั้ง: 708-1 Izusan, Atami, Shizuoka 413-0002
วันเวลา: เปิดทุกวัน 09.00 – 16.30 น. (ร้านเครื่องราง)
ค่าเข้าชม: ฟรี!
การเดินทาง: จากสถานี Atami สามารถนั่งรถบัสที่มุ่งหน้าสู่ Nanao Danchi มาลงที่ป้ายหน้า Izusan Shrine (7-10 นาที)
เว็บไซต์: https://izusanjinjya.jp/
Atami Pudding Café 2nd
ใครเป็นสายเดินเล่นชมเมือง ไม่ควรพลาดการเดินชมเมืองออนเซ็นเก่าแก่อย่าง Atami และในเส้นทางเดินเที่ยวนี้ก็จะมีร้านค้าของฝากของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านขนม รวมไปถึงคาเฟ่มากมาย และร้านที่เราอยากจะแนะนำในครั้งนี้นั่นก็คือ Atami Pudding Café 2nd อยู่ห่างจากสถานีรถไฟ Atami ไม่มาก เดินแค่เพียง 15 นาที
ร้านตั้งอยู่ในย่านการค้าเก่าแก่ Atami Ginza Shopping Arcade ตกแต่งในธีมในเข้ากับเมืองออนเซ็น คือใช้กระเบื้องคล้ายกับอ่างแช่น้ำร้อน มีความกิ๊บเก๋
เมนูขึ้นชื่อของทางร้านก็คือพุดดิ้งนึ่งสไตล์อาตามิ มีความหอมปนขมอ่อนๆ ของคาราเมล ที่เข้ากันได้ดีกับความนุ่มละมุนของเนื้อพุดดิ้ง มีหลากหลายรสชาติให้เลือก และเหมาะอย่างยิ่งกับการซื้อเป็นของฝาก นอกจากนี้ยังมีของที่ระลึกน่ารักๆ อีกหลายอย่างจำหน่ายด้วยนะ
Atami Pudding Café 2nd
ที่ตั้ง: 10-22 Ginzacho, Atami, Shizuoka 413-0013
วันเวลา: เปิดทุกวัน 10.00 – 18.00 น.
การเดินทาง: เดินจากสถานี Atami มาได้ (12 นาที)
เว็บไซต์: https://2nd.atami-purin.com/
และเมื่อเราใช้บัตร JR TOKYO Wide Pass เดินทางอย่างคุ้มค่าจนครบ 3 วันแล้ว เราก็สามารถใช้เดินทางจากสถานี Atami อำลาเมืองออนเซ็นเก่าแก่ในคาบสมุทรแห่งนี้ นั่งรถไฟมุ่งหน้ากลับเข้าสู่กรุงโตเกียวอย่างสุขกายสบายใจกันได้เลย
JR TOKYO Wide Pass ใช้เที่ยวได้ไกล ไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้อีกเยอะ
อย่างที่กล่าวไปแล้วตั้งแต่ตอนต้นว่าบัตรรถไฟ JR TOKYO Wide Pass สามารถใช้เดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟในแถบคันโต คือจังหวัดโตเกียวและจังหวัดข้างเคียงได้ในพื้นที่ที่กว้างมากๆ สถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ แห่งที่ไปถึงได้ยาก และอาจจะไม่ได้มีอยู่ในโปรแกรมทัวร์ของบริษัทนำเที่ยว แต่น่าสนใจ น่าไปเที่ยวชม ก็สามารถนั่งรถไฟไปเที่ยวชมได้เองอย่างง่ายๆ ด้วยบัตร JR TOKYO Wide Pass นี่
แม้ในเส้นทางที่เราแนะนำกันในครั้งนี้ จะเน้นไปที่คาบสมุทรอิซุในจังหวัด Shizuoka แต่ถ้าใครชอบเที่ยวในช่วงฤดูหนาว อยากทำกิจกรรมกับหิมะๆ เราก็ขอแนะนำให้ใช้บัตรรถไฟนี้ไปยังเมืองยูซาว่า เมืองหิมะและออนเซ็นของจังหวัดนีงาตะ (Niigata) ที่เป็นเหมือนลานเล่นหิมะหลังบ้านของกรุงโตเกียว เพราะสามารถนั่งรถไฟไปเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับยังได้เลย หรือจะขึ้นเหนือไปทางจังหวัดโทชิงะ (Tochigi) เพื่อไปยังแหล่งมรดกโลก ที่มีทั้งความเขียวชะอุ่มของแมกไม้และวัฒนธรรมเก่าแก่ของวัดและศาลเจ้าที่นิกโก้ (Nikko) ก็เป็นตัวอย่างของการใช้บัตร JR TOKYO Wide Pass เพื่อใช้ในการท่องเที่ยวในละแวกนี้ได้อย่างคุ้มค่าละนะ
นอกจากนี้… ขอแนะนำให้เพื่อนๆ ลองหาสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ แต่อยู่ไม่ไกลโตเกียว และสามารถใช้บัตร JR TOKYO Wide Pass ในการเดินทางได้ มาวางแผนเที่ยวเล่นๆ กันดู ท้าทายดีนะว่าเจ้าบัตรรถไฟ JR TOKYO Wide Pass นี้ จะสามารถใช้ออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวได้หลากหลาย และจะได้ทริปที่สนุกขนาดไหน
เว็บไซต์: https://www.jreast.co.jp/multi/th/pass/tokyowidepass.html
แล้วพบกันใหม่ในเส้นทางท่องเที่ยวญี่ปุ่น และทริปต่อไปนะจ้ะ (^^)/
สำหรับเพื่อนๆ ที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยรถไฟ สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
FB: https://facebook.com/JAPANRAILCLUB
IG: https://instagram.com/JAPANRAILCLUB
#เที่ยวญี่ปุ่นด้วยรถไฟ… ไปกับ JR TOKYO Wide Pass