เที่ยวเกียวโต คุยโวได้ว่า Unseen : ดื่มด่ำความเข้มข้นของเมืองแห่งชาเขียว!
ชอบดื่มชาเชียวกันไหม ส่วนตัวคิดว่าดูจากยี่ห้อชาเขียวแบบขวดที่เรียงรายในร้านสะดวกซื้อแล้วคงไขปริศนานี้ได้ไม่ยาก ถ้ามีโอกาสละอยากลองดื่มชาเขียวชื่อดังต้นตำรับที่เข้มข้นของญี่ปุ่นไหม แน่นอนว่า พวกเราอยาก!
วันนี้เรามีนัดที่เมืองอุจิ (Uji) เมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องชาเขียวตบท้ายอยู่ด้วย พวกเราก็ฮึกเหิมมีกำลังวังชาขึ้นมาทันที แถมไม่ต้องเหนื่อยจากการเดินทางมากด้วยเพราะเมืองอุจิอยู่ไม่ไหลนักจากตัวเมืองเกียวโต ขับรถประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว
แต่หยุดก่อน จุดหมายแรกพวกเรายังไม่ได้ไปลิ้มรสชาเขียว หนึ่งในพวกเรานางสายมูก็บ่นพึมพำพลางทำหน้าบูด แหมของอร่อยก็ต้องเก็บไว้เพิ่มพลังวังชาหลังจากเที่ยวก่อนสิ จริงไหม! แต่พอลงจากรถแล้ว พวกเราก็ตาลุกวาว เมื่อเบื้องหน้าของเราคือวัดที่เก่าแก่ ยิ่งใหญ่ สวยงาม และที่เอ็กซ์คลูซีฟสุดๆ เลยก็คือ วัดนี้เป็นวัดเดียวที่อยู่บนเหรียญ 10 เยน! แถมยอดของหอฟีนิกซ์ยังถูกใช้ในธนบัตร 10,000 เยนด้วย และวัดนี้มีชื่อว่า วัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple) นอกจากนี้ยังเป็นวัดที่ได้รับคัดเลือกจากยูเนสโกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกของญี่ปุ่นอีก ไม่ธรรมดาจริงๆนะ
สิ่งแรกเลยที่พวกเราทำหลังจากยืนประจันหน้าบริเวณหน้าวัดก็คือหยิบเหรียญสิบเยนขึ้นมาเทียบกับภาพจริง แล้วเดินเข้าไปชม แชะรูปเก็บความสวยงามของสถาปัตยกรรม อาคารนกฟินิกซ์นี่แหละที่เป็นอาคารหลักของวัด รอบๆ น่ะมีบ่อน้ำแล้วก็มีสะพานเชื่อมเอาไว้เพื่อข้ามไปยังตัวอาคาร
แล้ววัดเบียวโดอินน่ะถือเป็นวัดที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากพุทธศาสนาผสมผสานเข้ากับศิลปะแบบเฮอันที่ได้รับอิทธิพลจากจีน วัดเบียวโดอินก็เหมือนวัดอื่นๆในญี่ปุ่นที่เคยได้รับความเสียหายแต่ก็บูรณะ สร้างใหม่ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา แต่ห้องโถงฟินิกซ์นั้นยังคงอยู่เหมือนเดิมตลอดจนถึงทุกวันนี้ ห้องโถงฟินิกซ์ก็เลยกลายเป็นหนึ่งในอาคารไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่ รู้แบบนี้การเข้าไปชมในห้องโถงฟินิกซ์จึงควรค่าแก่การเข้าชม สามารถซื้อตั๋วเข้าไปชมความงามได้แต่ห้ามถ่ายรูป
※ การเยี่ยมชมภายในหอฟินิกซ์มีการกำหนดผู้เยี่ยมชมต่อวัน ใครมาก่อนได้เข้าชมก่อน อาจจะต้องรอหากมีผู้เข้าชมจำนวนมาก
ภาพที่คุ้นเคยกันก็จะเป็นภาพที่วัด Byodoin สะท้อนกับผิวน้ำรอบๆ อย่างสวยงาม แต่ทว่าวันนี้ทางวัดมีการซ่อมแซมสวนจึงมีการเปลี่ยนน้ำในสระ น้ำเลยแห้งเหือดลงไป เป็นภาพที่แปลกตาก็จริง แต่เรารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้เห็นหอฟีนิกซ์สะท้อนน้ำ อย่างไรก็ตามการซ่อมแซมนี้เสร็จสิ้นลงวันที่ 1 มีนาคม 2020 น้ำที่เปลี่ยนใหม่ใสแจ๋วยิ่งกว่าเดิม ใครไปวัด Byodoin หลังวันที่ 1 มีนาคม ก็จะได้ไปชมวัดสะท้อนน้ำได้อย่างสวยงามแน่นอน
เมื่อชมวัดจนหนำใจและนางสายมูขอพรเรียบร้อย พวกเราก็ค้นพบว่าละแวกวัดเบียวโดอินนี่อะ มีอะไรให้ทำอีกเพียบ สิ่งแรกเลยคือสูดอากาศแสนสดชื่น ชมวิวที่แม่น้ำอุจิ ที่ก็มีนักท่องเที่ยวมาเดินทอดน่องกับเราอยู่บ้าง แล้วก็มีคนญี่ปุ่นมาจ๊อกกิ้งออกกำลังกายกัน พอเดินไปสักพักก็เจอสะพานข้าม ระหว่างข้ามก็เจอกรงนกและคนเลี้ยงนก พวกเราก็เกิดความสงสัยทำไมถึงมีสิ่งเหล่านี้หว่า ก็เลยเข้าไปถาม พูดคุยกันได้ความว่า แม่น้ำอุจินี่เป็นหนึ่งในแม่น้ำที่ยังใช้การจับปลาแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า “อุไค” โดยใช้นกกาน้ำนี่แหละจับปลา!
ชาวประมงประมาณ 1 ถึง 3 คนจะออกเรือในตอนกลางคืน พร้อมด้วยเจ้านกกาน้ำ 5 ถึง 12 ตัว ชาวประมงจะจุดไฟให้ปลาตกใจ แล้วนกกาน้ำก็จะอาศัยจังหวะนี้แหละจับปลาขึ้นมา ปลาตัวเล็กก็จะถูกกลืนลงท้องเจ้านกไป ส่วนปลาตัวใหญ่ก็จะค้างอยู่ที่คอ คายออกมาก็กลายเป็นปลาของชาวประมง แค่อ่านยังรู้สึกเหลือเชื่อเลยใช่ไหมล่ะ!
บริเวณแม่น้ำอุจิยังมีถนนคนเดินชื่อว่า โอโมเทะซันโด (Omotesando) และที่นี่แหละที่เราจะได้ลิ้มรสชาเขียวกัน ที่ถนนคนเดินก็จะมีร้านขายของฝาก คาเฟ่ ร้านอาหาร (ตู้กาชาปองก็มีนะเออ) ที่แน่นอนว่าก็ต้องละลานตาเต็มไปด้วยชาเชียว!
พวกเราได้มีโอกาสแวะร้านคาเฟ่ดังในย่านนี้อย่าง วามุชะ (Wamucha Cafe) เมนูในร้านนี้ก็ไม่พ้นมีส่วนผสมจากชาเขียวเกือบทั้งหมด มีทั้งอุด้งชาเขียว โซบะชาเขียว แต่เมนูที่พวกเราอยากแนะนำจากที่ทานมาหลายเมนู เมนูที่อร่อยที่สุดสำหรับพวกเราก็คือ มาโบโทฟุหรือเต้าหู้ผัดเสฉวน ที่ตัวเต้าหู้นั้นก็ทำจากชาเขียว(อีกแล้ว) อีกอย่างที่ว้าวห้ามพลาดก็คือของหวาน ของหวานที่ทำจากชาเขียวอุจินี้อร่อย อูมามิสุดๆ เป็นรสชาติเข้มข้น คือทานไปนี่รู้สึกไม่หวานเลี่ยนเลย
ลืม! อย่างที่บอกไปแล้วว่าเมืองอุจิขึ้นชื่อเรื่องชาเขียว ร้านซึจิริ (TSUJIRI) ที่มาเปิดสาขาในไทย อย่างที่ห้างสยามพารากอนเองก็มีต้นกำเนิดจากเมืองแห่งชาแห่งนี้ละจ้า
อิ่มหมีพีมันแล้ว เราก็ขึ้นรถ ล้อแล่นเคลื่อนไปที่เมืองข้างๆ ที่ชื่อว่า วาสุกะ (Wazuka) เมืองนี้ก็ไม่รอดจากเอื้อมมือของชาเช่นเดียวกัน แถมยังเต็มไปด้วยไร่ชาเสียด้วย! ความสวยงามจากไร่ชานี่ทำเอาพวกเราตะลึง เพราะเหมือนหลุดออกมาจากโปสเตอร์ท่องเที่ยวอย่างไรอย่างนั้นเลย
ด้วยความที่มีเวลาที่เมืองนี้แค่ครึ่งวัน พวกเราก็ได้แต่นั่งรถและแวะแชะรูประหว่างทางบ้าง จนมาถึงอีกจุดหมาย ซึ่งน่าจะเป็นจุดหมายสุดท้ายของทริปเกียวโตครั้งนี้แล้ว (ฮือๆ เสียใจอะ) ก็คือคาเฟ่ d:matcha Kyoto CAFE&KITCHEN ร้านตกแต่งด้วยแสงสีวอร์มไลท์ทำให้รู้สึกอบอุ่นและตัวร้านเป็นกระจกใสเพื่อให้ผู้มาเยือนได้เสพความงามจากไร่ชาของร้านเอง มีเมนูอาหารและขนมหวานที่ทำจากชาเขียวมากมายให้เลือกสรร ที่พิเศษคือจัดหน้าตาของจานได้น่ารักและงดงาม จนต้องแชะเก็บภาพไว้ก่อนจะลงมือทาน
ที่คาเฟ่แห่งนี้ยังเปิดคอร์สติวเข้มเรื่องชา มีทั้งตัวเนื้อหาว่าชาญี่ปุ่นมีกี่ประเภท อะไรบ้าง แตกต่างกันยังไง ไปจนถึงพิธีชงชา หากใครที่สนใจเรียนรู้เรื่องชาแบบลึกๆแล้ว ก็อย่าพลาด เพราะเขาสอนเป็นภาษาอังกฤษด้วยล่ะ
เมื่อถ่ายรูปเก็บความประทับใจเสร็จเรียบร้อย เวลา 1 วันของเราก็จบลงไป กลิ่นชาที่อบอวลตลอดทั้งวันยังคงติดในจมูกเราอยู่และช่วยกล่อมให้เราเข้าสู่นิทราเพื่อเตรียมพบกับจุดหมายที่น่าตื่นเต้นต่อไปในวันรุ่งขึ้น
ในฝันคืนนั้น ฉันยังคงวิ่งเล่นอยู่ในวัดเบียวโดอินที่แสนสวยงาม
– เที่ยวเกียวโต คุยโวได้ว่า Unseen : เยือนหมู่บ้านสุขสงบ หิมะ แสงไฟ และเรื่องเซอร์ไพรส์!?
– เที่ยวเกียวโต คุยโวได้ว่า Unseen : ท่องป่าไผ่ลับรสชาติเผ็ดร้อน!
– เที่ยวเกียวโต คุยโวได้ว่า Unseen : เยี่ยมเมืองแห่งการประมง ที่ทั้งอิ่มใจและอิ่มท้อง!
– บินตรงโอซาก้า ขับรถเที่ยวเกียวโต โอ้โห!! ที่แบบนี้ก็มีด้วย ตอนที่ 1
– บินตรงโอซาก้า ขับรถเที่ยวเกียวโต โอ้โห!! ที่แบบนี้ก็มีด้วย ตอนที่ 2
#เที่ยวเกียวโต