Kanazawa – เมืองที่นำพาทองคำเปลวสู่การเป็นมรดกโลก!
เกิดมาเป็นชาวพุทธเมืองไทย มั่นใจว่าทุกคนต้องคุ้นเคยและคุ้นตากับทองคำเปลวกันเป็นอย่างดี และบอกเลยว่าที่ญี่ปุ่นเค้าก็มีทองคำเปลวเหมือนกันนะ แถมยังทำได้ ทำถึง ทำกันจริงจังสไตล์คนญี่ปุ่นจน Unesco ต้องขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ แล้วชาวแดนปลาดิบเค้าจะมีวิธีการทำทองคำเปลวที่ละเมียดละมุนขนาดไหนถึงเข้าตายูเนสโก้ได้ขนาดนี้ ไปดูกัน!
ชื่อเมือง Kanazawa ประกอบด้วยอักษรคันจิ 金 และ 沢 ที่แปลว่า ‘หนองน้ำทองคำ’ และแม้เราจะคอนเฟิร์มให้ไม่ได้ว่าเมืองนี้มีทองในหนองน้ำจริงตามชื่อมั้ย แต่สิ่งที่รับรองได้ก็คือที่นี่เป็นแหล่งผลิตทองคำเปลวคุณภาพดีซึ่งมีการนำไปใช้ในสถานที่สำคัญๆ ของประเทศญี่ปุ่นเกือบ 100% ไม่ว่าจะเป็นวัดทอง Kinkakuji ที่เกียวโต หลายจุดของ Nikko ในจังหวัด Tochigi ไปจนถึงวัด Todaiji จังหวัด Nara และสถานที่อื่นๆ อีกมากมาย – – ทองคำเปลวนั้นถือเป็นภูมิปัญญาที่สำคัญและขึ้นชื่อของคานาซาวะจนถึงขั้นที่เค้ามีพิพิธภัณฑ์ทองคำเปลวชื่อว่า Kanazawa Yasue ให้เข้าชมกันเลยทีเดียวเชียวละ ซึ่งด้านในของพิพิธภัณฑ์จะจัดแสดงกรรมวิธีการทำทองคำเปลวแบบดั้งเดิม และผลงานศิลปะหลากหลายรูปแบบที่ใช้ทองคำเปลวในการตกแต่ง รวมไปถึงเทคนิคการนำทองคำเปลวไปใช้ในชิ้นงานแฮนด์เมดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นบนเสื้อผ้า งานปัก งานเซรามิก ฉากกั้น ม้วนกระดาษตกแต่ง ตุ๊กตาไม้ เครื่องเขิน พัด กล่องใส่เครื่องประดับ และอื่นๆ อีกมากมาย

การทำทองคำเปลวของเมืองคานาซาวะนั้นนับว่าเป็นวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีการสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นอย่างยาวนานหลายร้อยปี และด้วยกระบวนการขั้นตอนที่ค่อนข้างยุ่งยาก ทำให้ทุกวันนี้เหลือช่างฝีมือที่ยังคงสืบทอดกรรมวิธีการทำทองคำเปลวแบบโบราณอยู่เพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น เพราะนี่คืองานฝีมือที่ต้องลงแรงทำกันอย่างยาวนาน อีกทั้งยังต้องใช้ความระมัดระวังและละเมียดละไม ว่ากันว่าในขั้นตอนการทำตั้งแต่ยุคโบราณ กว่าจะเป็นแผ่นทองคำเปลวหนึ่งแผ่นนั้น ช่างผู้ทำต้องใช้แรงงานในการตีแผ่นทองให้บางเฉียบกันมากกว่า 70,000 ครั้ง! พูดให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนการนำเหรียญ 10 เยนมาตีไปเรื่อยๆ จนขยายเป็นแผ่นขนาดเท่าเสื่อทาทามิถึง 4 ผืนเลยนั่นละ! – – โดยทองคำน้ำหนัก 1 กรัม จะถูกตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแผ่ขยายได้เป็นแผ่นทองพื้นที่ประมาณ 1 ตารางเมตร!! (100 x 100 ซม.) ซึ่งจะถูกนำมาแบ่งเป็นทองคำเปลวได้ 50 แผ่น โดยแต่ละแผ่นจะมีความหนาเพียง 1/10,000 มิลลิเมตร หรือ 0.00001 มม. เท่านั้น!!! – – มหัศจรรย์พอมั้ย??

แม้ว่าการตีทองคำให้กลายเป็นทองคำเปลวบางเฉียบในยุคปัจจุบัน จะมีการใช้เครื่องรีดแผ่นทองเป็นการทุ่นแรงไปได้ ซึ่งในขั้นตอนแรกช่างจะนำทองมาตีและเข้าเครื่องรีดจนได้ความหนาประมาณ 1/1,000 มม. หรือ 0.0001 มม. แล้วจึงนำแผ่นทองคำที่ได้มาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดประมาณ 5 ซม. จากนั้นจึงนำไปวางสลับชั้นกับกระดาษ Kamishikomi ซึ่งเป็นกระดาษแบบโบราณของญี่ปุ่นซึ่งต้องใช้กรรมวิธีในการทำแบบแฮนด์เมดเช่นกัน ต่อด้วยการนำไปตีให้ได้ความบางที่สม่ำเสมอ จนแผ่นทองขนาด 5 ซม. ในตอนแรก ขยายกว้างขึ้นจนกลายเป็นขนาดประมาณ 20 ซม. และมีความบางอยู่ที่ประมาณ 1/10,000 มม. หรือ 0.00001 มม. ซึ่งช่างผู้ทำจะต้องมีความชำนาญและมีความอดทนค่อนข้างสูงในการทำแผ่นทองแต่ละแผ่นออกมา และเมื่อได้ความบางที่ต้องการแล้ว ช่างจะตัดแผ่นทองคำเปลวให้ได้รูปทรงสวยงามด้วยเครื่องมือที่ทำจากไม้ไผ่ ซึ่งเป็นวัสดุที่จะไม่ก่อให้เกิดไฟฟ้าสถิตอันจะสร้างความเสียหายต่อแผ่นทองคำเปลวอย่างเบามือ ก่อนจะใช้ไม้ไผ่แท่งยาวในการประคองแผ่นทองที่ได้ไปจัดวางบนกระดาษให้พอเหมาะพอดี – – ละเมียดละมุนขนาดนี้ จึงไม่ต้องแปลกใจที่ Unesco จะต้องขอขึ้นทะเบียนกรรมวิธีนี้เอาไว้เป็นหนึ่งในมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้กันเลยทีเดียว!

เมืองคานาซาวะนั้นได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตทองคำเปลวที่สำคัญของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ยุคโบราณ เนื่องจากทำเลที่ตั้งซึ่งมีสภาพอากาศและความชื้นที่เหมาะสมกับการผลิตแบบพอดิบพอดี แม้ว่าจะไม่สามารถระบุวันและเวลาเริ่มต้นของกระบวนการนี้ได้อย่างแน่ชัด แต่มีเอกสารทางประวัติศาสตร์บางรายการได้บันทึกเอาไว้ว่า Maeda Toshiie ซึ่งเป็นผู้ปกครองคนแรกของแคว้น Kaga คือผู้เริ่มต้นสั่งให้มีการผลิตแผ่นทองคำเปลวและแผ่นเงินขึ้นในปี 1593 – – แต่ต่อมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ได้มีการออกกฎห้ามทำการผลิตแผ่นทองคำเปลวในพื้นที่อื่นๆ นอกจากที่เมืองเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) และเมืองเกียวโตเท่านั้น หากชาวคานาซาวะก็ยังแอบสืบทอดงานผลิตทองคำเปลวของตนเองต่ออย่างลับๆ จนเมื่อรัฐบาลที่ทำการปกครองเอโดะล่มสลายลงไปในเวลาต่อมา พวกเค้าจึงค่อยๆ กลับมาสร้างชื่อในด้านการผลิตทองคำเปลวคุณภาพเยี่ยมให้ตนเองได้อีกครั้งอย่างภาคภูมิ
ความยากของการทำแผ่นทองคำเปลวสไตล์คานาซาวะ ไม่ได้อยู่แค่ในกระบวนการรีดหรือตีทองคำออกมาให้เป็นแผ่นบางเฉียบเท่านั้น หากข้อสำคัญยังอยู่ที่กระดาษซึ่งต้องใช้คั่นแผ่นทองแต่ละแผ่นระหว่างการตี เพื่อป้องกันไม่ให้แผ่นทองที่บอบบางติดกันหรือฉีกขาด ซึ่งกระดาษที่ใช้นั้นเรียกว่า Kamishikomi ซึ่งเป็นกระดาษแฮนด์เมดที่มีความแตกต่างจากกระดาษ Washi แบบธรรมดาอย่างที่เราเห็นกันในงานฝีมือเช่นพัดหรือโคมไฟแบบโบราณของญี่ปุ่นนะ – – โดยขั้นตอนการทำกระดาษ Kamishikomi จะใช้ดินเหนียวและเส้นใยพืชที่เรียกว่า Ganpi มาผลิตเป็นแผ่นกระดาษ จากนั้นจึงนำไปตัดเป็นแผ่นตามที่ต้องการ ทำความสะอาดเพื่อขจัดฝุ่นและสิ่งสกปรกต่างๆ ออกไป แล้วจึงนำกระดาษที่ได้ไปแช่กับน้ำที่มีส่วนผสมของไข่ขาว น้ำลูกพลับ และขี้เถ้า เพื่อเพิ่มความเหนียวและคงทนให้กับตัวกระดาษ ก่อนจะนำไปตากให้แห้งสนิทแล้วตีด้วยมือให้ได้ความบางตามต้องการ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้จะต้องผ่านการทำซ้ำไปซ้ำมากว่า 20 ครั้ง ก่อนจะได้กระดาษคุณภาพดีที่เหมาะจะนำมาใช้ในการตีทองคำเปลว ซึ่งบางครั้งขั้นตอนการผลิตกระดาษแบบนี้อาจจะต้องใช้เวลาราว 6 เดือนถึง 1 ปีเลยเชียวนะ! – – เหตุผลที่ต้องใส่ใจกับการทำกระดาษรองแผ่นทองขนาดนี้ ก็เพราะหากกระดาษ Kamishikomi ที่ใช้นั้นมีคุณภาพดีไม่พอ จะทำให้แผ่นทองที่ตีได้มีความบางที่ไม่สม่ำเสมอและยังอาจทำให้แผ่นทองติดกับตัวกระดาษจนเกิดความเสียหายได้นั่นเอง

แผ่นทองคำเปลวที่ผ่านกระบวนการทำมือแบบโบราณเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น จะมีชื่อเรียกเฉพาะว่าแผ่นทองคำเปลว Entsuke ซึ่งกรรมวิธีในการทำแผ่นทองชนิดนี้สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเกือบ 400 ปีเลยเชียวละ และกรรมวิธีการทำก็ยังเป็นงานฝีมือชั้นสูงที่มีอยู่เฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นอีกด้วย ทุกวันนี้โดยส่วนใหญ่ แผ่นทองชนิดนี้มักจะถูกนำไปใช้ในการซ่อมแซมหรืออนุรักษ์โบราณสถานที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก – – ในขณะที่แผ่นทองคำเปลวอีกแบบซึ่งเรียกว่าแผ่นทองคำเปลว Tachikiri นั้นคือแผ่นทองซึ่งผ่านกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างสะดวกและทันสมัยมากกว่า ทั้งในการนำกระดาษกลาสซีนซึ่งมีคาร์บอนพิเศษมาใช้แทนกระดาษ Kamishikomi และยังมีการนำเครื่องจักรเข้ามาช่วยในการรีดและตัดแผ่นทอง ทำให้สามารถผลิตแผ่นทองคำเปลวได้ในจำนวนที่มากขึ้น – – แม้ว่าจะเป็นแผ่นทองที่ได้มาจากทองคำชนิดเดียวกันและผลิตในเมืองเดียวกัน แต่แน่นอนว่าความคลาสสิกและคุณค่าของงานที่ผ่านเครื่องจักรมา ย่อมไม่เท่ากับชิ้นงานที่แลกด้วยเวลา หยาดเหงื่อ และความประณีตจากมือของบรรดาช่างทั้งหลายอย่างแน่นอน
ลักษณะสำคัญของแผ่นทองคำเปลว Entsuke แบบโบราณนั้นคือการรักษาคุณภาพและความงดงามของทองคำเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน รวมถึงความบางเศษหนึ่งส่วนหมื่นมิลลิเมตรซึ่งจะส่งผลดีเมื่อมีการนำไปปิดในส่วนต่างๆ ของโบราณสถานทั้งหลาย เพราะแผ่นทองซึ่งบางและขยายตัวเต็มที่จะช่วยให้สามารถใช้แผ่นทองในจำนวนที่น้อยลงแต่ครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้น อีกทั้งเนื่องจากการเป็นแผ่นทองคำที่ผ่านการผลิตด้วยขั้นตอนและวัตถุดิบจากธรรมชาติทั้งหมด ทำให้แผ่นทองเอ็นซึเกะนั้นถูกนำไปใช้บนจานอาหารในฐานะทองคำที่รับประทานได้มากกว่าแผ่นทอง Tachikiri ซึ่งใช้เครื่องจักรในการผลิตเป็นหลักอีกด้วย

แม้จะเป็นเพียงแค่ทองคำเปลวแผ่นเล็กๆ ที่แลดูธรรมดา แต่กว่าจะได้มาต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนละเอียดลออและละเมียดละไม ซึ่งชาวญี่ปุ่นเค้าไม่เคยเป็นรองใครในเรื่องการใช้ฝีมือแบบนี้อยู่แล้วละ ที่น่าแปลกใจก็คือกระบวนการที่ยุ่งยากและต้องให้ความสำคัญที่สุดในการผลิตแผ่นทองคำเปลวนั้น กลับเป็นการทำกระดาษซึ่งใช้คั่นแผ่นทองมากกว่า ทำให้เราได้เห็นเลยว่าหากไม่ใส่ใจถึงกระบวนการหรือปัจจัยที่รายล้อมเป็นอย่างดี ทองคำเปลวของเมืองคานาซาวะแห่งนี้ก็คงจะไม่สามารถเปล่งประกายหรือเปี่ยมไปด้วยคุณค่าได้อย่างเต็มที่ และการโฟกัสที่ทุกสิ่งรอบด้านอันเต็มไปด้วยรายละเอียดยุบยิบแบบนี้ก็ถือเป็นซิกเนเจอร์ของชาวแดนอาทิตย์อุทัยเค้าเลยเชียวละ เรื่องแบบนี้ต้องคารวะเค้าจริงๆ!!
เรื่องแนะนำ :
– อัพเดท 11 แอพพลิเคชั่นปี 2024 – – มีติดไว้ เที่ยวญี่ปุ่นง่ายขึ้นแน่นอน!
– 9 เดือน 9 ปีนี้ คุณมีดอกเบญจมาศกันรึยัง?
– ‘สาเก’ เครื่องดื่มประจำชาติที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเจแปน
– เมื่อผู้คนในดินแดนแห่งอุตสาหกรรม AV กลับหันหลังให้ SEX มากขึ้นทุกทีในชีวิตจริง!
– Pigeon อยากดูด … ต้องได้ดูด … และต้องดูดได้เหมือนจริงที่สุด!!
อ้างอิงข้อมูลและรูปภาพจาก:
https://japannews.yomiuri.co.jp/original/delicious-japan/20230101-80455/
https://entsukegoldleaf.jp/eng/
https://www.japan.travel/en/japan-magazine/
https://web-japan.org/niponica/niponica30/en/feature/feature05.html
https://www.hakuza.co.jp/en/haku/heritage/
https://www.gov-online.go.jp/eng/publicity/book/hlj/html/202210/202210_06_en.html
https://visitkanazawa.jp/en/trip-ideas/detail_396.html
#Kanazawa – เมืองที่นำพาทองคำเปลวสู่การเป็นมรดกโลก!
